ตัวเลขยันชัดเจนเปรียบเทียบเม็ดเงินลงทุน ลิเวอร์พูล-แมนยู ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ตัวเลขยันชัดเจนเปรียบเทียบเม็ดเงินลงทุน ลิเวอร์พูล-แมนยู ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

ตัวเลขยันชัดเจนเปรียบเทียบเม็ดเงินลงทุน ลิเวอร์พูล-แมนยู ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

 

ตัวเลขยันชัดเจนเปรียบเทียบเม็ดเงินลงทุน ลิเวอร์พูล-แมนยู ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล และ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นสองสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แต่การที่พวกเขาจะก้าวขึ้นมาครองอำนาจในวงการลูกหนังเมืองผู้ดีก็ต้องมีการสร้างทีมเยอะพอสมควร โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา

สองยอดสโมสรจากนอร์ธเวสต์เมืองผู้ดีเกี่ยวข้องกับการใช้จ่ายเงินในตลาดซื้อขายนักเตะทั้งช่วงซัมเมอร์และฤดูหนาวรวมกันแล้วกว่า 1.74 พันล้านปอนด์ (ราว 66,120 ล้านบาท) โดยทั้ง “เดอะ เร้ดส์” และ “เร้ด เดวิลส์” เคยทุ่มเงินเป็นสถิติโลกในการเสริมทัพบางตำแหน่ง และบางครั้งก็ต้องปล่อยผู้เล่นออกไปเนื่องจากทำผลงานไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง

นักเตะบางคนที่ย้ายมาเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ หรือโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ถ้าสามารถปรับตัวได้เร็วก็มีโอกาสที่จะแจ้งเกิด แต่หากปรับตัวไม่ได้ก็ต้องกลายเป็นแค่ยางอะไหล่ หรือบางคนก็โดนอัปเปหิออกจากสโมสรไปด้วยความเจ็บปวด  ในช่วงเวลา 5 ปี เอ็ด วู้ดเวิร์ด รองประธานบริหารแมนฯ ยูไนเต็ด

พยายามที่จะทุ่มเงินเพื่อซื้อผู้เล่นเก่ง ๆมาร่วมทีมให้ได้บางครั้งก็ทำเสร็จ บางครั้งก็ล้มเหลว ทำให้ไม่ค่อยเป็นที่รักของแฟนผีโปรเจ็กต์มากนัก แต่ตอนนี้พวกเขามีการแต่งตั้ง จอห์น เมอร์เท่อห์ เข้ามาทำหน้าที่ผู้อำนวยการกีฬาซึ่งจะมีงานหลักก็คือเรื่องการเสริมทัพ

ขณะที่ ลิเวอร์พูล มียอดฝีมืออย่าง ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์  ผู้อำนวยการกีฬาคนเก่งซึ่งได้รับการยกย่องอย่างมากกับการเสริมทัพให้กับ “หงส์แดง” โดยเฉพาะความสามารถในการซื้อแข้งในรายต่ำ
แต่ขายออกไปด้วยราคาสูง แล้วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ใช้เงินไปมากแค่ไหน งั้นลองมาเปรียบเทียบกันดูซะหน่อย

 

 

ตัวเลขยันชัดเจนเปรียบเทียบเม็ดเงินลงทุน ลิเวอร์พูล-แมนยู ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา 2016/17

ลิเวอร์พูล : ใช้เงิน 71.91 ล้านปอนด์ (ราว 2,732 ล้านบาท) รายได้ 76.84 ล้านปอนด์ (ราว 2,920 ล้านบาท) กำไร 4.93 ล้านปอนด์ (ราว 187 ล้านบาท)

ในช่วงระหว่างที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้าไปชอปปิ้งนักเตะในช่วงตลาดพ่อค้าแข้งครั้งแรกในฐานะนายใหญ่ลิเวอร์พูล เขาดึงนักเตะ 2 คนมาร่วมทีมซึ่งกลายเป็นคีย์แมนสำคัญในการนำ “หงส์แดง” ประสบควมสำเร็จ

นั่นก็คือ ซาดิโอ มาเน่ ที่ย้ายจาก เซาธ์แฮมป์ตัน ด้วยค่าตัว 37 ล้านปอนด์ (ราว 1,406 ล้านบาท) กับ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม จาก นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ค่าตัว 25 ล้านปอนด์ (ราว 950 ล้านบาท) ขณะเดียวกัน “เดอะ เร้ดส์”

ได้รับเงินจากการขาย คริสติย็อง เบนเตเก้ ให้กับ คริสตัล พาเลซ ด้วยสนนราคา 28 ล้านปอนด์ (ราว 1,064 ล้านบาท) และปล่อยตัว จอร์ดอน ไอบ์ กับ โจ อัลเลน ให้กับ บอร์นมัธ และ สโต๊ค ซิตี้ ตามลำดับด้วยค่าตัวรวม 30 ล้านปอนด์ (ราว 1,140 ล้านบาท) 

แน่นอนว่านี่คือการทำธุรกิจซื้อขายที่ประสบความสำเร็จในช่วงซัมเมอร์นั้น แต่ “เดอะ เร้ดส์” ก็มีการซื้อผู้เล่นที่ผิดพลาดเช่นกันนั่นก็คือ ลอริส คา ริอุส ที่ย้ายจาก ไมนซ์ ด้วยค่าตัว 6 ล้านปอนด์ (ราว 228 ล้านบาท) และ นายด่านชาวเยอรมัน ก็ได้สร้างฝันร้ายให้กับสาวก “เดอะ ค็อป” ในการชิงชัย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในอีก 2 ปีหลังจากนั้น 
 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : ใช้เงิน 166.50 ล้านปอนด์ (ราว 6,327 ล้านบาท) รายได้ 42.53 ล้านปอนด์ (ราว 1,616 ล้านบาท) ขาดทุน 123.98 ล้านปอนด์ (ราว 4,711 ล้านบาท) 

สมัยที่ โชเซ่ มูรินโญ่ นั่งกุมบังเหียน ต้องบอกว่าเป็นคนมือเปิบมาตั้งนานแล้ว โดยตอนนั้น แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทำให้แฟนบอลตั้งทึ่งเมื่อยอมจ่ายเงินเป็นสถิติโลกด้วยการเซ็นสัญญา ปอล ป็อกบา กลับมาร่วมทีมอีกครั้งจาก ยูเวนตุส ด้วยค่าตัว 95 ล้านปอนด์ (ราว 3,610 ล้านบาท)

ตามด้วยการเซ็นสัญญากับ เฮนริค มคิตาร์ยาน ด้วยค่าตัว 38 ล้านปอนด์ (ราว 1,444 ล้านบาท) และ เอริค ไบยี่ สนนราคา 34 ล้านปอนด์ (ราว 1,292 ล้านบาท) แต่หลังจากนั้น มคิตาร์ยาน ถูกแลกตัวกับ อเล็กซิส ซานเชซ ดาวยิงอาร์เซน่อล ขณะที่ ไบยี่

ปัจจุบันกลายเป็นเซนเตอร์แบ็กตัวเลือกที่ 3 ในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ขณะที่ในช่วงตลาดพ่อค้าแข้งปีนั้น ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ย้ายมาเล่นให้กับทีมแบบฟรีเอเจนต์ โดย “อิบรา” ช่วยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์อีเอฟแอล คัพ (คาราบาว คัพ) กับ ยูโรปา ลีก กระนั้น “ผีแดง”

ได้เงินจากการขาย มอร์กกาน ชไนเดอร์ลิน ให้กับ เอฟเวอร์ตัน ด้วยค่าตัว 20 ล้านปอนด์ (ราว 760 ล้านบาท) และ เมมฟิส เดอปาย ให้ โอลิมปิก ลียง ค่าตัว 14 ล้านปอนด์ (ราว 532 ล้านบาท) 

 

ตัวเลขยันชัดเจนเปรียบเทียบเม็ดเงินลงทุน ลิเวอร์พูล-แมนยู ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา 2017/18

ลิเวอร์พูล : ใช้เงิน 156.49 ล้านปอนด์ (ราว 5,947 ล้านบาท) รายได้ 175.05 ล้านปอนด์ (ราว 6,652 ล้านบาท) กำหร 18.56 ล้านปอนด์ (ราว 705 ล้านบาท)

นี่เป็นอีกซัมเมอร์ที่สำคัญมากๆ ในการเปลี่ยนแปลงทีม โดย คล็อปป์ เซ็นสัญญากับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ด้วยค่าตัว 38 ล้านปอนด์ ตามด้วย อเล็กซ์ อ็อดซ์เลด-แชมเบอร์เลน ค่าตัว 34 ล้านปอนด์ และ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ค่าตัวแค่ 8 ล้านปอนด์ (ราว 304 ล้านบาท)

โดยทีมขาย มามาดู ซาโก้ ให้ คริสตัล พาเลซ ค่าตัว 25 ล้านปอนด์ (ราว 950 ล้านบาท) นี่เป็นช่วงซีซั่นที่ยากจะทำใจสำหรับสาวก “เดอะ ค็อป” 

เมื่อพวกเขาต้องขาย ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ให้กับ บาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัว 130 ล้านปอนด์ (ราว 4,940 ล้านบาท) ในเดือนมกราคา 2018 แต่พวกเขานำเงินก้อนนั้นเปลี่ยนไปเป็นการคว้าตัว เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ จาก เซาธ์แฮมป์ตัน ด้วยค่าตัว 76 ล้านปอนด์ (ราว 2,888 ล้้านบาท)

ซึ่งตอนนั้นถือเป็นกองหลังแพงสุดในโลก บทสรุปฤดูกาลนั้น “เดอะ เร้ดส์” ทะลุเข้าชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่น่าเสียดายที่แพ้ เรอัล มาดริด กระนั้นนี่คือการเสริมทัพที่สุดสำคัญซึ่งนำไปสู่รากฐานความสำเร็จในฤดูกาลต่อมา 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : ใช้้เงิน 178.56 ล้านปอนด์ (ราว 6,785 ล้านบาท) รายได้ 40.95 ล้านปอนด์ (ราว 1,556 ล้านบาท) ขาดทุน 137.61 ล้านปอนด์ (ราว 5,229 ล้านบาท) 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ใช้เงินเยอะมากในช่วงซัมเมอร์ปี 2017 โดยได้ผลลัพธ์ที่ผสมปนเปกันไป โดยพวกเขาได้ โรเมลู ลูกากู มาจาก เอฟเวอร์ตัน โดยจ่ายค่าเสียหายไป 76 ล้านปอนด์ และซัดไป 27 ประตูในฤดูกาลแรก 

แต่เขาไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองในฐานะหน้าเป้าในระยะยาวได้ จากนั้นก็ดึง เนมานย่า มาติช กับ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ ที่มีค่าตัว 40 ล้านปอนด์ (ราว 1,520 ล้านบาท) กับ 32 ล้านปอนด์ (ราว 1,216 ล้านบาท) ตามลำดับ

โดยปัจจุบันทั้งสองคนเป็นคีย์แมนในยุค โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ส่วน มคิตาร์ยาน ย้ายสลับตัวกับ ซานเชซ ดาวยิงอาร์เซน่อล ซึ่งทั้งสองคนคือการแลกตัวที่น่าผิดหวังทั้งสองสโมสร และ อัดนาน ยานาไซ ที่ครั้งหนึ่งได้รับการเชิดชูในฐานะ “ดาวรุ่งสายฟ้า”

ในโรงละครแห่งความฝัน ที่ย้ายไปอยู่ เรอัล โซเซียดาด ค่าตัวแค่ 8 ล้านปอนด์

 

2018/19

ลิเวอร์พูล : ใช้เงิน 163.98 ล้านปอนด์ (ราว 6,231 ล้านบาท) รายได้ 37.91 ล้านปอนด์ (ราว 1,440 ล้านบาท) ขาดทุน 126.79 ล้านปอนด์ (ราว 4,818 ล้านบาท)

หลังจากที่ คาริอุส สร้างเรื่องสุดช็อกในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ ลีก จากนั้น คล็อปป์ ตัดสินใจที่จะทุ่มเงินกระชากตัว อลีสซง เบ็คเกอร์ มาจาก โรม่า ซึ่งตอนนั้นค่าตัวโกลเป็นสถิติโลก 56 ล้านปอนด์ (ราว 2,128 ล้านบาท)

ตามด้วยการเซ็นสัญญากับ นาบี เกอิต้า จากแอร์เบ ไลป์ซิก ค่าตัว 54 ล้านปอนด์ (ราว 2,052 ล้านบาท) และ ฟาบินโญ่ จาก โมนาโก ค่าตัว 40 ล้านปอนด์ พร้อมกับ เซอร์ดาน ชากีรี่ ที่ย้ายมาจาก 

สโต๊ค ซิตี้ 13 ล้านปอนด์ (ราว 494 ล้านบาท) โดยขาย โดมินิค โซลันกี้ ไปให้ บอร์นมัธ และ แดนนี่ วอร์ด ไป เลสเตอร์ ซิตี้ ค่าตัวรวม 31 ล้านปอนด์ (ราว  1,178 ล้านบาท) ซึ่งถือว่าเป็นการทำธุรกรรมการขายพ่อ

ค้าแข้งที่น่าผิดหวังสำหรับบอร์ดบริหารลิเวอร์พูล แต่กระนั้นการเซ็นสัญญานักเตะเหล่านี้ทำให้ ลิเวอร์พูล กลับมาผงาดอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการคว้าแชมป์ “บิ๊กเอียร์” หลังปราบ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ที่กรุงมาดริด ประเทศสเปน 

 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : ใช้เงิน 74.43 ล้านปอนด์ (ราว 2,828 ล้านบาท) รายได้ 27.50 ล้านปอนด์ (ราว 1,045 ล้านบาท) ขาดทุน 46.94 ล้านปอนด์ (ราว 1,783 ล้านบาท)

นี่เป็นตลาดนักเตะที่เงียบเหงาของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด โดยพวกเขาเซ็นสัญญากับ เฟร็ด มาจาก ชัคตาห์ โดเน็ตส์ท ค่าตัว 53 ล้านปอนด์ (ราว 2,014 ล้านบาท) และ ดีโอโก้ ดาโลต์ จาก ปอร์โต้ ค่าตัว  20 ล้านปอนด์ (ราว 760 ล้านบาท) ในช่วงแรกๆ เฟร็ด

ยังไม่สามารถปรับตัวได้มากนัก แต่ตอนนี้เขาเริ่มทำได้ดีขึ้นในฤดูกาลปัจจุบัน ส่วน ดาโลต์ โดนส่งไปเล่นแบบยืมตัวกับ เอซี มิลาน ขณะที่ “ผีแดง” ปล่อยตัว ดาเล่ย์ บลินด์ ไปให้ อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ค่าตัว 14 ล้านปอนด์ (ราว 532 ล้านบาท)

 

2019/20

ลิเวอร์พูล : ใช้เงิน 9.36 ล้านปอนด์ (ราว 355.68 ล้านบาท) รายได้ 37.44 ล้านปอนด์ (ราว 1,423 ล้านบาท) กำไร 28.08 ล้านปอนด์ (ราว 1,067 ล้านบาท)

สำหรับฤดูกาลนี้ ลิเวอร์พูล ไม่ค่อยได้ร่วมวงไพบรูณ์ในตลาดซื้่อขายนักเตะมากนักแต่พวกเขาก็แข็งแกร่งมากพอที่จะคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกสำเร็จ ทีมดึง ทาคูมิ มินามิโนะ ซึ่งเป็นแข้งดังฝีเท้าดีมาร่วมทีมจากเร้ดบูลล์ส ซัลซ์บวร์ก ด้วยค่าตัว 7.5 ล้านปอนด์ (ราว 285 ล้านบาท)

ในเดือนมกราคม 2020 แต่สตาร์ลูกหนังชาวญี่ปุ่นไม่สามารถแจ้งเกิดในถิ่นแอนฟิลด์ได้ สุดท้ายถูกส่งไปเล่นแบบยืมตัวกับ เซาธ์แฮมป์ตัน เมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา ขณะเดียวกัน “เดอะ เร้ดส์” มีการปล่อยนักเตะออกไปอย่างเช่น

แดนนี่ อิงส์ ให้กับ “นักบุญ” ด้วยสนนราคา 20 ล้านปอนด์ (ราว 760 ล้านบาท) และปล่อย ซิมง มิโญเล่ต์ กับ ไรอัน เคนท์ ออกไปด้วย 
 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : ใช้เงิน 204.10 ล้านปอนด์ (ราว 7,755 ล้านบาท) รายได้ 73.06 ล้านปอนด์ (ราว 2,776 ล้านบาท) ขาดทุน 131.04 ล้านปอนด์ (ราว 4,980 ล้านบาท)

หลังจากที่ทำการแต่งตั้ง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เข้ากุมบังเหียนถาวรในช่วงต้นปีนั้น บรรดาบอร์ดบริหาร “ผีแดง” พร้อมโอ๋ “น้าลูกอม” เต็มที่ด้วยการหนุนหลังเขาในการสร้างทีมช่วงตลาดพ่อค้าแข้ง 

เริ่มด้วยการหาแนวรับที่แข็งแกร่งด้วยการเซ็นสัญญากับ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ด้วยค่าตัว 78 ล้านปอนด์ (ราว 2,964 ล้านบาท) ซึ่งเป็นสถิติกองหลังแห่งสุดในโลก ตามด้วยการคว้าตัว อารอน วาน-บิสซาก้า ค่าตัว 50 ล้านปอนด์ (ราว 1,900 ล้านบาท)

และ แดเนี่ยล เจมส์ ค่าตัว 16 ล้านปอนด์ (ราว 608 ล้านบาท) พร้อมกับการเซ็นสัญญาที่สุดสำคัญนั่นก็คือ บรูโน่ แฟร์นันด์ส ในเดือนม.ค. 2020 ด้วยสนนราคา 50 ล้านปอนด์ ซึ่ง 

ดาวเตะชาวโปรตุกีส กลายเป็นขวัญใจสาวก “เร้ด อาร์มี่” ไปแล้วหลังโชว์ฟอร์มสุดอลังการจนนำ “ผีแดง” มีลุ้นแชมป์ลีกในรอบ 8 ปี นอกจากนี้พวกเขายังจ่ายเงินจำนวน 10 ล้านปอนด์ (ราว 380 ล้านบาท)

ในการเซ็นสัญญายืมตัว โอเดียน อิกาโล่ มาจาก เซี่ยงไฮ้ เสิ่นหัว อย่างไรก็ตาม “ปีศาจแดง” ได้เงินจำนวน 67 ล้านปอนด์ (ราว 2,546 ล้านบาท) จากการขาย โรเมลู ลูกากู ให้กับ อินเตอร์ มิลาน ในเดือนสิงหาคม 2019 แน่นอนว่าเม็ดเงินจากการขาย หัวหอกชาวเบลเยียม

ช่วยทำให้บัญชีของ แมนฯ ยูไนเต็ด คล่องตัวหลังทีมทุ่มเงินมหาศาลคว้าตัว แม็กไกวร์ กับ วาน-บิสซาก้า แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ลูกากู กำลังฟอร์มเปรี้ยงปร้างกับ “งูใหญ่” ขณะที่แนวรุกของแมนฯ ยูไนเต็ด ฟอร์มลุ่มๆ ดอนๆ หาความแน่นอนไม่ได้เลย 

 

2020/21

ลิเวอร์พูล : ใช้เงิน 74.39 ล้านปอนด์ (ราว 2,826 ล้านบาท) รายได้ 38.88 ล้านปอนด์ (ราว 1,477 ล้านบาท) ขาดทุน 35.51 ล้านปอนด์ (ราว 1,349 ล้านบาท)

ลิเวอร์พูล คว้าตัว ติอาโก้ อัลกันตาร่า มาจาก บาเยิร์น มิวนิค เมื่อเดือนกันยายนที่ผ่านมา ด้วยค่าตัว 20 ล้านปอนด์ (ราว 760 ล้านบาท) จากนั้นก็คว้าตัว ดีโอโก้ โชต้า มาจาก วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส ด้วยค่าตัว 40 ล้านปอนด์ (ราว 1,520 ล้านบาท)

โดย ดาวยิงชาวโปรตุกีส โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ขณะที่ ติอาโก้ ยังคงต้องใช้เวลาในการปรับตัวอีกสักพักใหญ่ๆ ขณะเดียวกับ “เดอะ เร้ดส์” จัดการปล่อยตัว ริอาน บรูว์สเตอร์ ให้กับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 23 ล้านปอนด์ (ราว 874 ล้านบาท)

พร้อมกันนี้ยังปล่อย เดยัน ลอฟเรน ไปให้ เซนิต เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ด้วยค่าตัว 11 ล้านปอนด์ (ราว 418 ล้านบาท) แต่การที่ทีมมีปัญหาแนวรับบาดเจ็บทั้ง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, โจ โกเมซ และ โฌแอล มาติป ทำให้ คล็อปป์

ต้องหาแนวรับคนใหม่มาช่วงทีม โดยได้ตัว เบน เดวิส มาจาก เปรสตัน นอร์ธ เอนด์ กับ โอซาน คาบัค ที่ยืมตัวมาจาก ชาลเก้ 04 เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา 

 

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : ใช้เงิน 75.15 ล้านปอนด์ (ราว 2,855 ล้านบาท) รายได้ 16.56 ล้านปอนด์ (ราว 629 ล้านบาท) ขาดทุน 58.59 ล้านปอนด์ (ราว 2,226 ล้านบาท)

แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่ค่อยได้ใช้เงินมากนักในช่วงซัมเมอร์ โดยพวกเขาคว้าตัว ดอนนี่ ฟาน เดอ เบ็ค มาจาก อาแจ็กซ์ อัมสเตอร์ดัม ด้วยเม็ดเงิน 35 ล้านปอนด์ (ราว 1,330 ล้านบาท)  แต่น่าเสียดายเหลือเกินที่ ดาวเตะชาวดัตช์

ไม่ค่อยมีบทบาทกับทีมในซีซั่นนี้และข่าวลือว่านักเตะอยากย้ายหนี “โรงละครแห่งความฝัน” จากนั้นพวกเขาได้ตัว เอดินสัน คาวานี่ มาแบบฟรีเอเจนต์ โดยนักเตะชาวอุรุกวัยทำผลงานได้น่าพอใจเลยทีเดียว แต่ก็มีรายงานว่าเจ้าตัวอยากย้ายทีมเมื่อจบซีซั่นนี้

อย่างไรก็ตาม โซลชา มีการสร้างทีมด้วยการเซ็นดาวรุ่งอย่าง อาหมัด ดิยัลโล่ และฟากุนโด้ เปยิสตรี ด้วยค่าตัวรวมกัน 26 ล้านปอนด์ (ราว 988 ล้านบาท) ตามด้วย อเล็กซ์ เตลลิส แบ็กซ้ายบราซิเลียน กระนั้นทีมได้ปล่อย คริส สมอลลิ่ง ไปให้ โรม่า จำนวน 13.5 ล้านปอนด์ (ราว 513 ล้านบาท) 

 

คาสิโนออนไลน์

คาสิโนออนไลน์