เม็ดเงินลงทุน เปรียบเทียบเม็ดเงินลงทุน ลิเวอร์พูล-แมนยู ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
เม็ดเงินลงทุน “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล และ “ปีศาจแดง” แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เป็นสองสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพรีเมียร์ลีก อังกฤษ แต่การที่พวกเขา
เม็ดเงินลงทุน จะก้าวขึ้นมาครองอำนาจในวงการลูกหนังเมืองผู้ดีก็ต้องมีการสร้างทีมเยอะพอสมควร โดยเฉพาะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
1.74 พันล้านปอนด์ (ราว 66,120 ล้านบาท) โดยทั้ง “เดอะ เร้ดส์” และ “เร้ด เดวิลส์” เคยทุ่มเงินเป็นสถิติโลกในการเสริมทัพบาง
ตำแหน่ง และบางครั้งก็ต้องปล่อยผู้เล่นออกไปเนื่องจากทำผลงานไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง
นักเตะบางคนที่ย้ายมาเล่นในถิ่นแอนฟิลด์ หรือโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ถ้าสามารถปรับตัวได้เร็วก็มีโอกาสที่จะแจ้งเกิด แต่หากปรับตัวไม่
ได้ก็ต้องกลายเป็นแค่ยางอะไหล่ หรือบางคนก็โดนอัปเปหิออกจากสโมสรไปด้วยความเจ็บปวด ในช่วงเวลา 5 ปี เอ็ด วู้ดเวิร์ด รอง
ประธานบริหารแมนฯ ยูไนเต็ด พยายามที่จะทุ่มเงินเพื่อซื้อผู้เล่นเก่ง ๆมาร่วมทีมให้ได้บางครั้งก็ทำเสร็จ บางครั้งก็ล้มเหลว ทำให้ไม่ค่อย
เป็นที่รักของแฟนผีโปรเจ็กต์มากนัก แต่ตอนนี้พวกเขามีการแต่งตั้ง จอห์น เมอร์เท่อห์ เข้ามาทำหน้าที่ผู้อำนวยการกีฬาซึ่งจะมีงานหลักก็คือเรื่องการเสริมทัพ
2016/17
ขณะที่ ลิเวอร์พูล มียอดฝีมืออย่าง ไมเคิ่ล เอ็ดเวิร์ดส์ ผู้อำนวยการกีฬาคนเก่งซึ่งได้รับการยกย่องอย่างมากกับการเสริมทัพให้กับ
“หงส์แดง” โดยเฉพาะความสามารถในการซื้อแข้งในรายต่ำ แต่ขายออกไปด้วยราคาสูง แล้วในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา ลิเวอร์พูล กับ แมนฯ
ยูไนเต็ด ใช้เงินไปมากแค่ไหน งั้นลองมาเปรียบเทียบกันดูซะหน่อย
ลิเวอร์พูล : ใช้เงิน 71.91 ล้านปอนด์ (ราว 2,732 ล้านบาท) รายได้ 76.84 ล้านปอนด์ (ราว 2,920 ล้านบาท) กำไร 4.93 ล้านปอนด์ (ราว 187 ล้านบาท)
ในช่วงระหว่างที่ เจอร์เก้น คล็อปป์ เข้าไปชอปปิ้งนักเตะในช่วงตลาดพ่อค้าแข้งครั้งแรกในฐานะนายใหญ่ลิเวอร์พูล เขาดึงนักเตะ 2
คนมาร่วมทีมซึ่งกลายเป็นคีย์แมนสำคัญในการนำ “หงส์แดง” ประสบควมสำเร็จ นั่นก็คือ ซาดิโอ มาเน่ ที่ย้ายจาก เซาธ์แฮมป์ตัน ด้วย
ค่าตัว 37 ล้านปอนด์ (ราว 1,406 ล้านบาท) กับ จอร์จินโย่ ไวจ์นัลดุม จาก นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ค่าตัว 25 ล้านปอนด์ (ราว 950 ล้านบาท)
ขณะเดียวกัน “เดอะ เร้ดส์” ได้รับเงินจากการขาย คริสติย็อง เบนเตเก้ ให้กับ คริสตัล พาเลซ ด้วยสนนราคา 28 ล้านปอนด์ (ราว 1,064
ล้านบาท) และปล่อยตัว จอร์ดอน ไอบ์ กับ โจ อัลเลน ให้กับ บอร์
นมัธ และ สโต๊ค ซิตี้ ตามลำดับด้วยค่าตัวรวม 30 ล้านปอนด์ (ราว
1,140 ล้านบาท)
ปัจจุบันกลายเป็นเซนเตอร์แบ็กตัวเลือกที่ 3 ในถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟ
อร์ด ขณะที่ในช่วงตลาดพ่อค้าแข้งปีนั้น ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ย้าย
มาเล่นให้กับทีมแบบฟรีเอเจนต์ โดย “อิบรา” ช่วยให้ แมนฯ ยูไนเต็ด คว้าแชมป์อีเอฟแอล คัพ (คาราบาว คัพ) กับ ยูโรปา ลีก กระนั้น “ผี
แดง” ได้เงินจากการขาย มอร์กกาน ชไนเดอร์ลิน ให้กับ เอฟเวอร์ตัน ด้วยค่าตัว 20 ล้านปอนด์ (ราว 760 ล้านบาท) และ เมมฟิส เดอปาย
ให้ โอลิมปิก ลียง ค่าตัว 14 ล้านปอนด์ (ราว 532 ล้านบาท)
2017/18
ลิเวอร์พูล : ใช้เงิน 156.49 ล้านปอนด์ (ราว 5,947 ล้านบาท) รายได้
175.05 ล้านปอนด์ (ราว 6,652 ล้านบาท) กำหร 18.56 ล้านปอนด์ (ราว 705 ล้านบาท)
นี่เป็นอีกซัมเมอร์ที่สำคัญมากๆ ในการเปลี่ยนแปลงทีม โดย คล็อปป์ เซ็นสัญญากับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ด้วยค่าตัว 38 ล้านปอนด์ ตาม
ด้วย อเล็กซ์ อ็อดซ์เลด-แชมเบอร์เลน ค่าตัว 34 ล้านปอนด์ และ
แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ค่าตัวแค่ 8 ล้านปอนด์ (ราว 304 ล้านบาท) โดย
ทีมขาย มามาดู ซาโก้ ให้ คริสตัล พาเลซ ค่าตัว 25 ล้านปอนด์ (ราว
950 ล้านบาท) นี่เป็นช่วงซีซั่นที่ยากจะทำใจสำหรับสาวก “เดอะ ค็อป”
เมื่อพวกเขาต้องขาย ฟิลิปเป้ คูตินโญ่ ให้กับ บาร์เซโลน่า ด้วยค่าตัว
130 ล้านปอนด์ (ราว 4,940 ล้านบาท) ในเดือนมกราคา 2018 แต่
พวกเขานำเงินก้อนนั้นเปลี่ยนไปเป็นการคว้าตัว เฟอร์จิล ฟาน ไดค์
จาก เซาธ์แฮมป์ตัน ด้วยค่าตัว 76 ล้านปอนด์ (ราว 2,888 ล้้านบาท)
ซึ่งตอนนั้นถือเป็นกองหลังแพงสุดในโลก บทสรุปฤดูกาลนั้น “เดอะ
เร้ดส์” ทะลุเข้าชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก แต่น่าเสียดายที่แพ้ เรอัล
มาดริด กระนั้นนี่คือการเสริมทัพที่สุดสำคัญซึ่งนำไปสู่รากฐานความสำเร็จในฤดูกาลต่อมา
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : ใช้้เงิน 178.56 ล้านปอนด์ (ราว 6,785 ล้าน
บาท) รายได้ 40.95 ล้านปอนด์ (ราว 1,556 ล้านบาท) ขาดทุน
137.61 ล้านปอนด์ (ราว 5,229 ล้านบาท)
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ใช้เงินเยอะมากในช่วงซัมเมอร์ปี 2017 โดย
ได้ผลลัพธ์ที่ผสมปนเปกันไป โดยพวกเขาได้ โรเมลู ลูกากู มาจาก
เอฟเวอร์ตัน โดยจ่ายค่าเสียหายไป 76 ล้านปอนด์ และซัดไป 27
ประตูในฤดูกาลแรก
2018/19
ลิเวอร์พูล : ใช้เงิน 163.98 ล้านปอนด์ (ราว 6,231 ล้านบาท) รายได้
37.91 ล้านปอนด์ (ราว 1,440 ล้านบาท) ขาดทุน 126.79 ล้าน
ปอนด์ (ราว 4,818 ล้านบาท)
หลังจากที่ คาริอุส สร้างเรื่องสุดช็อกในนัดชิงแชมเปี้ยนส์ ลีก จาก
นั้น คล็อปป์ ตัดสินใจที่จะทุ่มเงินกระชากตัว อลีสซง เบ็คเกอร์ มา
จาก โรม่า ซึ่งตอนนั้นค่าตัวโกลเป็นสถิติโลก 56 ล้านปอนด์ (ราว
2,128 ล้านบาท) ตามด้วยการเซ็นสัญญากับ นาบี เกอิต้า จากแอร์เบ
ไลป์ซิก ค่าตัว 54 ล้านปอนด์ (ราว 2,052 ล้านบาท) และ ฟาบินโญ่
จาก โมนาโก ค่าตัว 40 ล้านปอนด์ พร้อมกับ เซอร์ดาน ชากีรี่ ที่ย้ายมาจาก
สโต๊ค ซิตี้ 13 ล้านปอนด์ (ราว 494 ล้านบาท) โดยขาย โดมินิค โซลันกี้ ไปให้ บอร์นมัธ และ แดนนี่ วอร์ด ไป เลสเตอร์ ซิตี้ ค่าตัวรวม 31 ล้านปอนด์ (ราว 1,178 ล้านบาท) ซึ่งถือว่าเป็นการทำธุรกรรมการขายพ่อ
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : ใช้เงิน 74.43 ล้านปอนด์ (ราว 2,828 ล้านบาท) รายได้ 27.50 ล้านปอนด์ (ราว 1,045 ล้านบาท) ขาดทุน 46.94 ล้านปอนด์ (ราว 1,783 ล้านบาท)
2019/20
ลิเวอร์พูล : ใช้เงิน 9.36 ล้านปอนด์ (ราว 355.68 ล้านบาท) รายได้
37.44 ล้านปอนด์ (ราว 1,423 ล้านบาท) กำไร 28.08 ล้านปอนด์
(ราว 1,067 ล้านบาท)
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : ใช้เงิน 204.10 ล้านปอนด์ (ราว 7,755 ล้านบาท) รายได้ 73.06 ล้านปอนด์ (ราว 2,776 ล้านบาท) ขาดทุน
131.04 ล้านปอนด์ (ราว 4,980 ล้านบาท) หลังจากที่ทำการแต่งตั้ง โอเล่ กุนนาร์ โซลชา เข้ากุมบังเหียนถาวรในช่วงต้นปีนั้น บรรดา
บอร์ดบริหาร “ผีแดง” พร้อมโอ๋ “น้าลูกอม” เต็มที่ด้วยการหนุนหลังเขาในการสร้างทีมช่วงตลาดพ่อค้าแข้ง
หัว อย่างไรก็ตาม “ปีศาจแดง” ได้เงินจำนวน 67 ล้านปอนด์ (ราว 2,546 ล้านบาท) จากการขาย โรเมลู ลูกากู ให้กับ อินเตอร์ มิลาน ใน
เดือนสิงหาคม 2019 แน่นอนว่าเม็ดเงินจากการขาย หัวหอกชาวเบลเยียม ช่วยทำให้บัญชีของ แมนฯ ยูไนเต็ด คล่องตัวหลังทีมทุ่ม
เงินมหาศาลคว้าตัว แม็กไกวร์ กับ วาน-บิสซาก้า แต่ที่น่าเสียดายก็คือ ลูกากู กำลังฟอร์มเปรี้ยงปร้างกับ “งูใหญ่” ขณะที่แนวรุกของ
แมนฯ ยูไนเต็ด ฟอร์มลุ่มๆ ดอนๆ หาความแน่นอนไม่ได้เลย
2020/21
ลิเวอร์พูล : ใช้เงิน 74.39 ล้านปอนด์ (ราว 2,826 ล้านบาท) รายได้ 38.88 ล้านปอนด์ (ราว 1,477 ล้านบาท) ขาดทุน 35.51 ล้านปอนด์ (ราว 1,349 ล้านบาท)
“เดอะ เร้ดส์” จัดการปล่อยตัว ริอาน บรูว์สเตอร์ ให้กับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัว 23 ล้านปอนด์ (ราว 874 ล้านบาท) พร้อมกันนี้ยังปล่อย เดยัน ลอฟเรน ไปให้ เซนิต เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก ด้วยค่าตัว 11 ล้านปอนด์ (ราว 418 ล้านบาท) แต่การที่ทีมมีปัญหาแนวรับบาดเจ็บทั้ง เฟอร์จิล ฟาน ไดค์, โจ โกเมซ และ โฌแอล มาติป ทำให้ คล็อปป์ ต้องหาแนวรับคนใหม่มาช่วงทีม โดยได้ตัว เบน เดวิส มาจาก เปรสตัน นอร์ธ เอนด์ กับ โอซาน คาบัค ที่ยืมตัวมาจาก ชาลเก้ 04 เมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา
แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : ใช้เงิน 75.15 ล้านปอนด์ (ราว 2,855 ล้านบาท) รายได้ 16.56 ล้านปอนด์ (ราว 629 ล้านบาท) ขาดทุน 58.59 ล้านปอนด์ (ราว 2,226 ล้านบาท)