นักบอลช้ำบ่อยสู่นักขายร้อยล้าน
นักบอลช้ำบ่อย สู่นักขายร้อยล้าน เขาเคยรู้สึกว่าตัวเอง ตัวเล็กน้อยนิดมหาศาล เมื่อถูกนำตัวเข้าไปยังอัคร มหาลูกหนังสถานอย่าง โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด แบบเอ๊กซ์คลูซีฟเป็นครั้งแรก
นักบอลช้ำบ่อยสู่นักขายร้อยล้าน ที่นั่นถูกขนานนามว่า ” โรงละครแห่งความฝัน ” แต่สิ่งที่เกิดขึ้น กับเขาในทุกประสาทสัมผัส มันคือความจริง
ในห้องรับรองนักเตะ จมูกเขาได้กลิ่นจาก ควันซิก้าร์ตลบอบอวล หูได้ยินเสียงชนแก้วกริ๊ก จากชนชั้นสูงในโลกลูกหนัง ลิ้นได้รับรสอาหารหรู ส่วนดวงตาของเขาสอดส่าย ไปมาจนได้เห็นคนดังๆ ในวงการมากมาย จนมาหยุดอยู่ที่บุคคลหนึ่ง ซึ่งว่ากันว่าทรงอิทธิพล ที่สุดในสโมสรฟุตบอล แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กำลังเดินตรงรี่มาหาเขา ก่อนจะยื่นมือให้จับเพื่อทักทาย เขาเขย่ามือนุ่มๆ นั้น โดยอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่า จังหวะการเชคแฮนด์ถี่ๆ มันมาจากความตั้งใจ ทักทายจริงๆ หรือเพราะความประหม่ากันแน่
นักบอลช้ำบ่อยสู่นักขายร้อยล้าน เด็กหนุ่มเยาวรุ่นวัยแค่ 15 กำลังเคลิ้ม กับปฏิบัติการของ ยูไนเต็ด ที่มักใช้ดึงดูดดาวรุ่ง ให้มอบหัวใจแก่พวกเขา
เขารับหนังสือโปรแกรม มาพลิกอ่านด้วย ตาเบิกโพลงไม่นาน ก็ได้รับคำเชิญพร้อมกับคุณแม่, น้องชาย และน้องสาว ให้ชักภาพร่วมเฟรมกับ ” เฟอร์กี้ ” ก่อนได้จะเข้าไปร่วม เป็นสักขีพยานความป๊อปปูล่าร์ ของ ” ปีศาจแดง ” ใน โอลด์ แทร็ฟฟอร์ด พร้อมกับครอบครัว
เรื่องราวทั้งหมด เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2000 แต่สำหรับ รามอน คาลิสเต้ แล้ว ภาพเหตุการณ์ทุกช็อต ยังคงแจ่มชัดราว เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
นักบอลช้ำบ่อยสู่นักขายร้อยล้าน แน่นอน เขากลายเป็นดาวรุ่ง อีกคนที่มิอาจต้านทานแรงดึงดูด ของเสน่ห์ปีศาจได้
คาลิสเต้ ตกลงปลงใจ เดินเข้าอะคาเดมี่ของ ยูไนเต็ด แต่โดยดี และด้วยความ เห็นชอบของครอบครัว
หนุ่มน้อยจาก คาร์ดิฟฟ์ กลายเป็นที่โจษจันอย่างรวดเร็ว ทั้งในเรื่องสปีดที่จี๊ดจ๊าดถึงขั้นทาบสถิติวิ่ง 200 เมตรของลมกรด ดาร์เรน แคมป์เบลล์ ในการแข่งขันกรีฑาที่โรงเรียน แอชตัน-ออน-เมอร์ซี่ย์ แถมยังถูกบันทึกชื่อว่าเป็นนักเตะอายุน้อยสุดในอะคาเดมี่ที่ระเบิดแฮตทริกให้ทีมรุ่นยู-17 ได้ด้วย
เขากลายเป็นกำลังสำคัญของกองทัพเด็กผีชุดแชมป์ เอฟเอ ยูธ คัพ ปี 2003 เคียงข้างกับเพื่อนๆ อย่าง ซิลแว็ง-อีแบ็งค์ส เบล็ค และ คริส อีเกิ้ลส์ ก่อนได้รับโอกาสให้ขึ้นไปซ้อมร่วมกับทีมชุดใหญ่ ยูไนเต็ด
เขาจดจำความโอบอ้อมอารีของรุ่นพี่หน้ายาวชาวดัตช์อย่าง รุด ฟาน นิสเตลรอย ที่เดินเข้ามาตบบ่าให้กำลังใจจนขีดความตื่นเต้นในร่างกายลดฮวบฮาบ หรือความเก่งกาจของเจ้าหมู เวย์น รูนี่ย์ ที่โชว์ของแบบไม่กั๊กในการเล่นโต๊ะเล็กด้วยกันหลังย้ายมาจาก เอฟเวอร์ตัน ด้วยค่าตัวกระฉูดเมื่อปี 2004
นักบอลช้ำบ่อยสู่นักขายร้อยล้าน กระนั้น หลังจากที่สมาคมฟุตบอลอังกฤษหรือ เอฟเอ ผุดไอเดียให้มีการควบรวมทีมรุ่น ยู-17 กับ ยู-19 เป็นทีม ยู-18 ทีมเดียวในปี 2005 ทำให้สโมสร จำเป็นต้องระบายแข้งเยาวชนจำนวนหนึ่งออกไป
คาลิสเต้ยังจำได้ถึงนาทีพิพากษาของเขา ซึ่งตรงกับวันเอพริลฟูลส์เดย์ 1 เมษายนพอดิบพอดี
และเขาก็ได้รับแจ้งว่าไม่ได้อยู่ในข่ายที่จะได้ไปต่อ
มันคือเรื่องจริง ไม่ใช่คำโกหกเพื่อเอาฮาในวันเมษาหน้าโง่
โคลเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รีบทาบทามเขา ก่อนที่ ลิเวอร์พูล จะต่อสายเข้ามาตามคำแนะนำของ แฟร้งค์ แม็คพาร์แลนด์ ผู้อำนวยการอะคาเดมี่ ยูไนเต็ด ในเวลานั้น
คาลิสเต้ ไม่ลังเลที่จะย้ายค่ายเหมือนกับปีกรุ่นคุณทวดอย่าง ฟิล ชิสนัลล์ ผู้ที่เพิ่งล่วงลับไปเมื่อเร็วๆ นี้
เขาเซ็นสัญญากับทีมเยาวชน ” หงส์แดง ” 1 ปี และทำผลงานไม่เลวนัก การันตีด้วยตำแหน่งดาวซัลโวทีมสำรอง ลิเวอร์พูล แถมยังทำแสบด้วยการกดประตู ยูไนเต็ด ได้ด้วยตอนกลับมาเยือนบ้านเก่าในศึกแดงเดือดชุดเล็ก
แต่การต้องช่วงชิงตำแหน่งกับยอดดาวโรจน์ในยุคนั้นอย่างนีล เมลเลอร์ และ ฟลอร็องต์ ซินาม่า ปงโกลล์ ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
จอห์น โตแช็คกุนซือทีมชาติเวลส์ในเวลานั้น แนะนำให้เขาย้ายทีมเพื่อโอกาสในการลงสนามอย่างสม่ำเสมอ
คาลิสเต้ ตัดสินใจย้ายไป สคันธอร์ป ในปี 2006 ด้วยความมุ่งมั่นที่จะพิสูจน์ตัวเอง
แต่เหมือนโชคชะตาเล่นตลก เขาดันโชคร้ายข้อเท้าบิดเป็นเกลียวในการลงเกมซ้อมปรีซีซั่นกับบริกก์ ทาวน์ ส่งผลให้กระดูกแตก แถมเส้นเอ็นพัง จนไม่ได้รับโอกาสเปิดซิงในฐานะนักเตะอาชีพทีมชุดใหญ่
หลังผ่านการพักกายและพักใจแล้ว เขาพยายามประคับประคองความฝันในการเป็นนักฟุตบอลของตัวเองด้วยการไปขอทดสอบฝีเท้ากับ วีคอมบ์, เบรนท์ฟอร์ด เรื่อยไปจนเนีย ซาลามิส และ เลฟสกี้ โซเฟีย ที่ต่างแดน
เขาได้ลงเล่นช่วงสั้นๆ กับ ฟาร์นโบโร่ห์, เคมบริดจ์ ซิตี้ และ เวสต์ ลอนดอน ซาราเซนส์ ก่อนจะจำใจก้มหน้ายอมรับว่า ตัวเองคงไปต่อไม่ได้แล้วบนเส้นทางนี้
คาลิสเต้ ชี้ว่า อาการบาดเจ็บส่งผลรุนแรงต่อร่างกายของเขา แม้เพียงแค่จะย่ำเท้าเดิน ก็ยังเจ็บจี๊ดจนกระทั่งทุกวันนี้
แต่โลกใบนี้สำหรับเขาไม่ได้แตกสลาย เมื่อไปเส้นทางนี้ไม่ได้ ยังมีถนนสายอื่นให้เดิน
มันถึงเวลาของความเปลี่ยนแปลงแล้ว
ใช่ เขายังมี ” เวลา ”
คาลิสเต้ มีแคแร็กเตอร์เป็นคนที่หลงไหลในกลไกของเครื่องบอกเวลาเป็นอย่างมาก
เขามุ่งมั่นลงลึกศึกษาเรื่องนาฬิกาจนแตกฉาน ก่อนตัดสินใจเปิดบริษัทชื่อ “Global Watches ” ในปี 2013 เพื่อดำเนินธุรกิจขายนาฬิกาแบรนด์หรูอย่างจริงจัง
วยความซื่อสัตย์ต่อวิชาชีพ และคอนเน็กชั่นกับ บรรดานักฟุตบอลที่มีในมือ ทำให้ธุรกิจของเขาเติบโตอย่างพรวดพราด โดยมีลูกค้าเป็นเหล่านักเตะดังๆ ที่บอกต่อกันปากต่อปาก ลุกลามไปจนถึงบรรดาเซเล็บจากหลากหลายวงการ
บริษัทของเขา ทำเงินได้มากกว่า 5 ล้านปอนด์ (ราว 200 ล้านบาท) ต่อปี
นาฬิกาบางเรือน เคยทำเงินให้เขามากถึง 250,000 ปอนด์ (ราว 10 ล้านบาท)
ปัจจุบัน คาลิสเต้ บนวัย 32 ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขกับภรรยา และลูกอีกสองหน่อในลอนดอน บริหารกิจการของตัวเองที่ออฟฟิศในเมย์แฟร์ ย่านหรูที่เด่นหรากลางมหานคร
เคยมีคนถามว่า เมื่อเหลียวหลังมองกลับไป รู้สึกเสียใจหรือเสียดายบ้างไหมที่ชีวิตไม่ได้เป็นเหมือนฝัน?
คำตอบเพียงสั้นๆ จากปากเขาก็เพียงแค่ ” มันคงไม่ใช่ชะตาของผม ”
เขาเจ็บปวดรวดร้าว แต่ไม่เคยปล่อยให้ตัวเองจมจ่อมอยู่กับมันเนิ่นนาน
เขายังมี ” เวลา ”
คาลิสเต้ ตัดสินใจลิขิตชะตาชีวิตตัวเอง และการค้าเครื่องบอกเวลา ที่เขาลงทุนลงแรงไปกับมันด้วยความตั้งใจ ก็นำพาเงินตรามาให้เขาใช้ดำรงชีวิต
” โอเค ” ของเขา มันอาจหมายถึง ” นัมเบอร์วัน ” สำหรับใครอีกหลายคนเลยทีเดียว
ด้วยทัศนคติ ยอดเยี่ยมเยี่ยงนี้ ไม่น่าแปลกใจว่า ทำไม คาลิสเต้ ถึงประสบความสำเร็จในชีวิต
สำหรับเขาแล้ว ไม่ใช่เพียงแค่เวลาที่เยียวยาทุกสิ่ง แต่การยอมรับความจริง ด้วยที่ช่วยรักษาทุกอย่าง