3ปีของ เปเล่ ที่เปลี่ยนมุมมอง ซอคเกอร์ ต่อชาวอเมริกัน ไปตลอดกาล
ย้อนชมช่วงเวลา 3 ปีของราชันลูกหนังที่ทำให้ “ซอคเกอร์” มีตัวตนในสหรัฐอเมริกาได้ที่นี่
กีฬาที่แทบไร้คนดู
แม้ว่าฟุตบอล หรือ ซอคเกอร์ จะเป็นกีฬาที่เข้ามาใน สหรัฐอเมริกา ตั้งแต่ร้อยกว่าปีก่อน แถมยังก่อตั้งสมาคมฟุตบอลตั้งแต่ปี 1884 ก่อนมหาอำนาจลูกหนังอย่าง บราซิล, อาร์เจนตินา หรือ เยอรมัน แต่ความนิยมของกีฬาชนิดนี้กลับต่ำเตี้ยเรี่ยดิน
มันแทบไม่ได้รับความสนใจจากชาวอเมริกัน เมื่อเทียบกับ เบสบอล, บาสเกตบอล หรืออเมริกันฟุตบอล จนถูกมองว่าเป็นกีฬาเฉพาะกลุ่ม และมีคนเล่นเพียงแค่หยิบมือเท่านั้น แต่ถึงอย่างนั้น จากยอดผู้ชมการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก 1966 ในอเมริกาเหนือที่สูงถึง 1 ล้านคน ทำให้นักลงทุนเล็งเห็นว่า กีฬาชนิดนี้เป็นตลาดใหม่ที่ยังไม่มีใครมาถึง และก่อตั้งลีกฟุตบอล North American Soccer League (NASL) ขึ้นมาได้สำเร็จในปี 1968
โดยในฤดูกาลแรก พวกเขามียอดผู้ชมเฉลี่ยเพียงแค่ 4,669 คน และลดลงเหลือเพียงแค่ 2,930 คนในฤดูกาล 1969 แม้จากนั้นจะลีกมียอดผู้ชมที่กระเตื้องขึ้นมาบ้าง แต่มันก็ไม่เคยไปถึงหลักหมื่นแม้แต่ครั้งเดียว
“สภาพของฟุตบอลในอเมริกาในช่วงทศวรรษที่ 1960s และ 1970 ค่อนข้างน่าสงสารมาก” คลิฟ ทอย อดีตผู้จัดการทั่วไปชาวอังกฤษของ นิวยอร์ก คอสมอส กล่าวกับ BBC World Service “ไม่มีใครสนใจ ไม่มีใครรู้ว่าฟุตบอลเป็นอย่างไร”
ปรากฎการณ์
เปเล่ หรือ เอ็ดสัน อรันเตส โด นาซิเมนโต ถือเป็นหนึ่งในยอดนักเตะแห่งยุค หลังพาบราซิล คว้าแชมป์โลกครั้งแรกในปี 1958 ด้วยวัยเพียง 17 ปี เขาก็ดาหน้ากวาดรางวัลมาประดับตู้โชว์อย่างต่อเนื่อง ทั้งแชมป์ลีกและแชมป์ระดับทวีปกับ ซานโตส รวมไปถึงแชมป์โลกอีก 2 สมัยกับบราซิล
ทำให้ชื่อของเขา กลายเป็นที่รู้จักในวงกว้าง แทบไม่มีใครในโลกในตอนนั้นที่ไม่รู้จักเขา ไม่เว้นแม้แต่ดินแดนที่ฟุตบอลยังเป็นกีฬาชายขอบอย่างอเมริกา
นั่นทำให้ นิวยอร์ก คอสมอส สโมสรที่เพิ่งก่อตั้งในปี 1970 ซึ่งมี วอร์เนอร์ คอมมูนิเคชั่น (วอร์เนอร์ มีเดีย ในปัจจุบัน) เป็นกลุ่มทุนอยู่เบื้องหลัง ให้ความสนใจและอยากได้ตัวเขามาร่วมทีม แต่ไม่ว่าเทียวไล้เทียวขื่ออย่างไรก็ไม่สำเร็จ เมื่อ ซานโตส ยืนยันว่าจะไม่ปล่อยเพชรเม็ดงามของพวกเขาไปเด็ดขาด
อย่างไรก็ดีในปี 1974 โอกาสของพวกเขาก็มาถึง เมื่อราชันลูกหนังของโลก ประกาศแขวนสตั๊ด ทำให้ คอสมอส เดินหน้าเจรจากับ เปเล่ ทันที
แม้ว่าจะรู้ดีว่า ยูเวนตุส และ เรอัล มาดริด กำลังจ้องฉกตัวซูเปอร์สตาร์ชาวบราซิลอยู่เช่นกัน และชื่อชั้นของพวกเขาดูจะห่างไกลจากสโมสรจากยุโรป แต่ข้อเสนอจากการเจรจาของ คลิฟ ทอย ผู้จัดการทั่วไปของ คอสมอส ก็ทำให้เปเล่หันมามองพวกเขา
“เปเล่กำลังเปิดพรมแดนใหม่ และนั่นก็คืออเมริกา มันคือความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ของอเมริกา” โรส แกนกุสซา โปรดิวเซอร์ชื่อดังของฮอลลีวูดกล่าว
ปี 1975 เปเล่ ตกลงปลงใจเซ็นสัญญายาว 3 ปีกับ นิวยอร์ก คอสมอส พร้อมรับค่าตอบแทนเป็นเงินที่สูงถึง 4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 20 ล้านดอลลาร์ในปัจจุบัน (ราว 600 ล้านบาท) โดยแบ่งเป็นเงินเดือน 1 ล้านดอลลาร์ สิทธิ์ในการตลาด 10 ปี 1 ล้านดอลลาร์ สิทธิ์ในการโฆษณา 14 ปี 1 ล้านดอลลาร์ และสัญญาทำเพลงอีก 1 ล้านดอลลาร์
การเซ็นสัญญาของเขาได้สร้างปรากฏการณ์ไปทั่วอเมริกา ถึงขนาดที่ เฮนรี คิสซิงเจอร์ รัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐฯ ในขณะนั้น ส่งโทรเลขบอกทั่วโลกว่าการมาถึงของเปเล่ ทำให้ ความสัมพันธ์ระหว่างอเมริกา และบราซิล มีความแน่นแฟ้นยิ่งขึ้น
ในขณะที่งานเปิดตัวของเขาในวันที่ 10 มิถุนายน 1975 ที่ร้าน 21 Club ร้านดังแห่งย่านแมนแฮตตัน ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เมื่อมีนักข่าวนับร้อยเบียดเข้ามาจนแน่นขนัดในร้าน ทั้งที่ก่อนหน้านี้แทบไม่มีชายตามองกีฬาชนิดนี้
“คุณสามารถกระจายข่าวไปทั่วโลกได้เลยว่า ในที่สุดซอคเกอร์ก็มาถึงอเมริกาแล้ว” เปเล่กล่าวในวันเปิดตัว
15 มิถุนายน 1975 คือเกมแรกของเปเล่ในสีเสื้อของคอสมอส เมื่อทีมเปิดบ้านรับการมาเยือนของ ดัสลัส ทอร์นาโด ในเกมนัดอุ่นเครื่อง ซึ่งยอดแข้งชาวบราซิล ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง เมื่อสามารถประเดิมประตูได้ทันที ช่วยให้ทีมเสมอกับคู่แข่ง 2-2 ต่อหน้าผู้ชม 21,000 คนใน ดาวนิง สเตเดียม ซึ่งทรุดโทรมจนต้องฉีดสเปรย์สีเขียวในสนามเพื่อให้ดูดีในการถ่ายทอดสด
5 วันต่อมา เปเล่ และ คอสมอส เดินทางไปบอสตัน เพื่อลงเตะนัดอุ่นเครื่องกับ บอสตัน มินนิตเมน ที่มียูเซบิโอ ดาวเตะชาวโปรตุเกส อยู่ในทีม แต่เกมนี้ได้รับความสนใจเกินคาด เมื่อมีผู้ชมเข้ามาชมเกมถึงสองเท่าของความจุ 12,000 ที่นั่งของ นิคเคอร์สัน ฟิลด์ จนทำให้แฟนบอลนับร้อย ต้องนั่งชมเกมติดเส้นขอบสนามและหลังประตู
แม้จะดูอันตรายไปหน่อย แต่ในอีกด้านหนึ่งมันก็เป็นสัญญาณว่าความคลั่งไคล้ในเกมลูกหนังได้มาถึงอเมริกาแล้ว
ผู้ชุบชีวิตฟุตบอลอเมริกา
การเซ็นสัญญาของ เปเล่ ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องของพวกเขา เมื่อมันทำให้กระแสฟุตบอลฟีเวอร์ กระจายไปทั่วอเมริกา เปเล่ และ คอสมอส กลายเป็นทีมซูเปอร์สตาร์ ที่มีแต่คนให้ความสนใจ และรอชมฝีเท้าในทุกสนามที่ไป
มันคือการตลาดในฝันของ สตีฟ รอส บิ๊กบอสของวอร์เนอร์ เมื่อ เปเล่ ทำให้ คอสมอส อยู่ตรงกลางของสปอตไลท์ ไม่ว่าจะเป็นการที่เปเล่ได้ถ่ายรูปร่วมกับ เจอรัลด์ ฟอร์ด ประธานาธิบดีอเมริกา หรือการที่ทีมมีคิวจองไปเตะโชว์ทั่วโลก
ในขณะเดียวกัน เปเล่ ยังได้จุดประกายให้หลายทีมเดินตามรอยคอสมอส เมื่อมันทำให้สโมสรอื่นพากันทุ่มเงิน ดึงนักเตะชื่อดังมาร่วมทีม ไม่ว่าจะเป็น จอร์จ เบสต์ ที่มาอยู่กับ ลอส แอนเจลิส แอซเท็กส์ ที่มี เอลตัน จอห์น เป็นหุ้นส่วน, เจฟฟ์ เฮิร์สต์ ที่มาเล่นให้กับ ซีแอตเทิล ซาวเดอร์ส หรือ รอดนีย์ มาร์ช ที่มาอยู่กับ แทมปา เบย์ ราวดีส์
แน่นอนว่า คอสมอส ไม่ได้ปล่อยให้คู่แข่งเสริมทัพอยู่ฝ่ายเดียว เมื่อพวกเขาเองก็พยายามขยายทีมเช่นกัน ทั้งการย้ายรังเหย้าจาก ดาวนิง สเตเดียม ไปสู่ ไจแอนท์ส สเตเดียม ที่มีความจุถึง 80,000 ที่นั่ง หรือการจ้างดีไซน์เนอร์ชื่อดังอย่าง ราล์ฟ ลอเรน เจ้าของแบรนด์ โปโล มาออกแบบชุดแข่งให้
นอกจากนี้พวกเขายังได้ทุ่มเงินคว้านักเตะที่เคยคว้าแชมป์โลกมาร่วมทีมถึงสองคน นั่นก็คือ ฟรานซ์ เบ็คเคนบาวเออร์ ตำนานชาวเยอรมัน และ คาร์ลอส อัลแบร์โต กัปตันทีมชาติบราซิล ที่ทำให้ชื่อของ คอสมอส เป็นที่รู้จักยิ่งขึ้นอีก
“เบ็คเคนเบาเออร์และคาร์ลอส อัลแบร์โต ทำให้เราก้าวไปอีกระดับ” สตีฟ ฮันท์ แข้งชาวอังกฤษที่เคยเล่นให้กับคอสมอสในช่วงปี 1977-1978 กล่าวกับ BBC
“มันไม่ใช่แค่เรื่องฟุตบอล มันเป็นวิธีจัดการตัวเอง และมีเวลากับผู้คน ผมสนุกกับทีมนี้มากเท่ากับความสนุกที่ได้เล่นกับพวกเขา”
“เบ็คเคนเบาเออร์มีความสง่างาม เขาเคลื่อนที่ได้เนียนตา และนั่นคือสิ่งที่เขาเป็นนอกสนาม เขาเป็นคนนิสัยดีคนหนึ่งของทีม”
การลงทุนของพวกเขาได้สร้างผลดีให้แก่ลีก เมื่อมันทำให้ฟุตบอล กลายเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมอย่างก้าวกระโดด จากสถิติระบุว่า NASL มียอดผู้ชมเฉลี่ยที่สูงขึ้นทุกปีนับตั้งแต่เปเล่มาถึง เริ่มจาก 7,642 คนในปี 1975 เป็น 10,295 คนในปี 1976 และ 13,558 คนในปี 1977
เช่นกัน สำหรับคอสมอส เมื่อเหล่าสตาร์ดังของพวกเขา ต่างช่วยดึงดูดให้แฟนบอลเข้ามาชมเกมในสนาม จนทำให้พวกเขากลายเป็นเจ้าของสถิติผู้ชมในสนามสูงสุดตั้งแต่ปี 1975 แถมในปี 1977 พวกเขายังทำลายสถิติผู้ชมสูงสุดตลอดกาล หลังมีแฟนบอลเข้ามาชมเกมในรอบเพลย์ออฟที่พบกับ ฟอร์ท ลอเดอร์เดล สไตร์เกอร์ส ถึง 77,691 คน
นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากการมาถึงของชายคนหนึ่ง ที่ทำให้เกมลูกหนัง ที่ก่อนหน้านั้นเป็นเพียงกีฬาเฉพาะกลุ่ม กลายมาเป็นกีฬาที่ผู้คนต่างให้ความสนใจไปทั่วอเมริกา
“ก่อนเปเล่จะมาที่เมืองนี้ ฟุตบอลถูกรายงานโดยนักข่าวเด็ก ๆ ส่วนใหญ่เป็นการลงโทษด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้มีนักข่าวกว่า 300 คนที่ดาวนิง สเตเดียม รวมถึง เดวิด เฮอร์เชย์ ผู้สื่อข่าวของ นิวยอร์ก เดลี นิวส์” กาวิน นิวแชม กล่าวในสารคดี Once in a Lifetime
อย่างไรก็ดี ช่วงเวลาที่ดี มักจะอยู่กับเราได้ไม่นาน
3ปีของ เปเล่ ที่เปลี่ยนมุมมอง ซอคเกอร์ ต่อชาวอเมริกัน ไปตลอดกาล