แชมป์เก่า ที่ผลงานการป้องกันแชมป์ย่ำแย่ที่สุด ในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก

แชมป์เก่า ที่ผลงานการป้องกันแชมป์ย่ำแย่ที่สุด ในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก

 

แชมป์เก่า ที่ผลงานการป้องกันแชมป์ย่ำแย่ที่สุด ในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก

 

หลายคนมองว่า หงส์แดง กลายเป็นแชมป์เก่าที่ผลงานย่ำแย่ไปแล้ว ด้วยการเก้บชัยชนะได้เพียง 2 นัดจาก 9 นัเดหลังสุดและเป็นการแพ้ในบ้านติดต่อกันถึง 3 เกม ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเขาสร้างสถิติสโมสรด้วยการไม่แพ้ใครที่ แอนฟิลด์ 68 นัดก่อนหน้านี้

อย่างไรก็ตาม ลิเวอร์พูล ยังไม่ใช่แชมป์เก่าที่มีผลงานตกต่ำที่สุด เพราะในประวัติศาสตร์นับตั้งแต่ก่อตั้งลีกขึ้นมาในปี 1992 มี 5 ทีมที่ทำได้แย่กว่านี้

แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส – ฤดูกาล 1995-1996 – อันดับ 7

“กุหลาบไฟ” สร้างปรากฏการณ์ “ล้มยักษ์” อย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ได้สำเร็จจากฝีมือของ เซอร์ เคนนี ดัลกลิช และคู่หู “SAS” อลัน เชียเรอร์ และ คริส ซัตตัน ชนิดที่ต้องลุ้นกันจนนัดสุดท้ายในซีซัน 1994-1995

อย่างไรก็ตาม แบล็คแบิร์น ก็ไม่สามารถต่อยอดความสำเร็จนั้นได้ โดยเมื่อเปิดฤดูกาลใหม่มาพวกเขาพ่ายไปถึง 4 เกมจากการลงสนามใน 6 นัดแรก ในขณะที่ “ฮ็ฮตช็อต” ยังคงความร้อนแรงได้อย่างต่อเนื่องผิดกับคู่หูของเขาอย่าง ซัตตัน ที่โดนอาการบาดเจ็บเล่นงานจนทำได้แค่ประตูเดียวในซีซันนั้น

ท้ายที่สุดทีมจากแลงคาเชียร์ทำได้เพียงจบอันดับ 7 ของตารางและตามมาด้วยสถานการณ์ “ทีมแตก” โดย อัลน เชียเรอร์ ตัดสินใจย้ายกลับไปค้าแข้งที่บ้านเกิดอย่าง นิวคาสเซิล ในขณะที่ ดัลกลิช ซึ่งลาออกจากการเป็นผู้จัดการทีมและผันตัวเองไปเป็นผู้อำนวยการฟุตบอลของสโมสรก่อนหน้านั้นก็ประกาศวางมือเช่นกัน

แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด – ฤดูกาล 2013-2014 – อันดับ 7

ไม่ว่าผู้จัดการทีมคนใดก็ตามที่เข้ามารับงานต่อจาก เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน พวกเขาจะไม่มีทางได้เจองานง่ายอย่างแน่นอน ไม่เว้นแม้กระทั่งกุนซือที่ป๋าเลือกเองกับมืออย่าง เดวิด มอยส์

“เดอะโชสเซนวัน” เปิดฉากซีซัน 2013-2014 อย่างเร้าใจก่อนที่ผลงานจะค่อย ๆ ดร็อปลงอย่างน่าใจหายทั้ง ๆ ที่ตัวผู้เล่นที่เขาได้รับสืบทอดมานั้นไม่ได้เป็นสองรองใคร ก่อนที่จะได้รับโอกาสเพียงแค่ 9 เดือนในถิ่น โอลด์ แทรฟฟอร์ด

ไรอัน กิกส์ เข้ามารับงานคุมทีมชั่วคราวต่อจาก มอยส์ และพาทีมจบอันดับ 7 ของตาราง กลายเป็นฤดูกาลแรกนับตั้งแต่ซีซัน 1991-1992 ที่พวกเขาไม่สามารถจบท็อปทรีได้ และถือเป็นอันดับต่ำสุดที่พวกเขาทำได้ใน พรีเมียร์ลีก อีกทั้งยังปล่อยให้คู่ปรับสำคัญอย่าง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ขับเคี่ยวแย่งแชมป์กันต่อหน้าต่อหน้าสาวก ปีศาจแดง อีกด้วย

เชลซี – ฤดูกาล 2015-2016 – อันดับ 10

ซีซันที่ เลสเตอร์ ซิตี้ สร้างปรากฏการณ์คว้าแชมทป์ พรีเมียร์ลีก สมัยแรก กลับกลายเป็นฝันร้ายของ “แชมป์เก่า” อย่าง เชลซี ภายใต้การนำของ โชเซ มูรินโญ กับการกลับมาคุมทีมรอบ 2 ซึ่งไม่มีใครคาดคิดว่ามันจะเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น

ลูกทีมของ “เดอะสเปเชียลวัน” ประเดิมซีซันใหม่ด้วยการแพ้ไปถึง 9 จาก 16 เกมแรก พวกเขาพบว่าตัวเองต้องหล่นลงไปอยู่อันดับที่ 16 ของตาราง และนั่นคือฟางเส้นสุดท้ายที่ทำให้นายใหญ่โปรตุกีสต้องแยกทางกับเสี่ยหมีเป็นรอบที่สอง ก่อนจะโดนแทนที่ด้วย “ขาประจำ” อย่าง กุส ฮิดดิ้ง

นอกจากผลงานโดยรวมของทีมแล้ว เอเด็น อาซาร์ ที่แจ้งเกิดอย่างเต็มตัวจนได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมของ PFA เมื่อซีซันก่อนยังไม่สามารถยิงประตูได้ในฤดูกาลใหม่จนกระทั่งถึงช่วงปลายเดือนเมษายน

อย่างไรก็ตามการเข้ามาของ ฮิดดิ้ง ในช่วงครึ่งซีซันหลังทำให้ เชลซี ทำผลงานได้ดีขึ้นมาบ้าง โดยจบที่อันดับ 10 ของตารางคว้าไป 50 คะแนนซึ่งน้อยกว่าตอนที่ได้แชมป์เมื่อซีวันก่อนถึง 37 คะแนนเลยทีเดียว

เลสเตอร์ ซิตี้ – ฤดูกาล 2016-2017 – อันดับ 12

ไม่มีใครคาดว่า เลสเตอร์ ซิตี้ จะก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์ พรีเมียร์ลีก สมัยแรกได้สำเร็จเมื่อซีซัน 2015-2016 ภายใต้การคุมทีมของ “เดอะทิ้งเกอร์แมน” เคลาดิโอ ราริเอรี ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็น “เทพนิยาย” บทหนึ่งของวงการลูกหนังเลยก็ว่าได้ ก่อนที่ทุกอย่างจะล่มสลายภายในเวลาแค่ปีเดีย

สัญญาณอันตรายเริ่มขึ้นตึ้งแต่นัดแรกของซีซัน 2016-2017 เมื่อ เดอะฟ็อกซ์ พ่ายให้กับน้องใหม่อย่าง ฮัลล์ ซิตี้ ไปแบบสุดช็อกด้วยสกอร์ 2-1 และต่อจากนั้นก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นตัวได้เลยโดยเก็บได้เพียง 21 คะแนนเมื่อผ่านไป 25 นัด

เลสเตอร์ พบว่าตัวเองอยู่เหนือพื้นที่ตกชั้นเพียยงแค่อันดับเดียว นั่นทำให้ รานิเอรี โดนไล่ออกอย่างไม่มีข้อสงสัย ก่อนที่จะได้ เคร็ก เช็คสเปียร์ เข้ามารับหน้าที่แทนและพาทีมจบด้วยอันดับ 12 ของตารางรอดพ้นการตกชั้นได้ในที่สุด

ลีดส์ ยูไนเต็ด – ฤดูกาล 1992-1993 – อันดับ 17

ลีดส์ ยูไนเต็ด คือทีมสุดท้ายที่คว้าแชมป์ ดิวิชัน 1 เดิมก่อนจะเปลี่ยนมาเป็น พรีเมียร์ลีก ในฤดูกาลลต่อมา ซึ่งก็ถือว่าพวกเขาได้ลงเล่นในฐานะแชมป์เก่าเช่นกัน

อาจจะด้วยอาการเมาค้างหรืออะไรไม่ทราบได้ ยูงทอง ออกสตาร์ทได้อยบ่างย่ำแย่ในซีซันใหม่พวกเขาชนะได้เพียง 2 นัดจาก 9 นัดแรกเท่านั้น ซึ่งผลงานก็ยังไม่กระเตื้องขึ้นจนท้ายที่สุดต้องมาลุเนตกชั้นกันในโค้ลสุดท้ายก่อนที่จะรอดตายหวุดหวิดด้วยการจบอันดับ 17 ของตารางมีแต้มเหนือโวนตกชั้นเพียง 2 คะแนนเท่านั้น

และที่แย่ไปกว่านั้นคือ ลีดส์ ตัดสินใจปล่อยตัว เอริค คันโตนา ให้กับคู่ปรับสำคัญอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ช่วงกลางซีซัน 1992-1993 ซึ่งถือเป็นการสร้างตำนานบทใหม่ให้กับทีม ปีศาจแดง เพราะ ก็องโต้ ช่วยพาทีมคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก ได้อีก 4 สมัยและกลายเป็นตำนานที่ โอลด์ แทรฟฟอร์ด ไปในที่สุด

 

แชมป์เก่า ที่ผลงานการป้องกันแชมป์ย่ำแย่ที่สุด ในประวัติศาสตร์ พรีเมียร์ลีก

 

แทงบอลออนไลน์ คลิก!!
สมัครเว็บคาสิโนออนไลน์