1963 ฟุตบอลอังกฤษต้องเล่นบนสนามพื้นน้ำแข็ง
บ็อกซิ่งเดย์ คือหนึ่งในธรรมเนียมที่มีมาอย่างยาวนานของฟุตบอลอังกฤษ สโมสรตั้งแต่ลีกบนยันลีกล่าง ต้องมาฟาดแข้งกันท่ามกลางอากาศอันหนาวเหน็บในช่วงปลายปี อย่างไรก็ดี มีปีหนึ่งที่พวกเขาต้องพ่ายแพ้ให้กับธรรมชาติอันโหดร้าย หลังอุณหภูมิติดลบถึง 20 องศาเซลเซียส ที่ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นน้ำแข็ง ไม่เว้นแม้แต่สนามฟุตบอล
เกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น ร่วมติดตามไปพร้อมกับ Chronicles
ธรรมเนียมกว่า 100 ปี เมื่อลมหนาวพัดโชยมา ก็เป็นเหมือนสัญญาณสำหรับประเทศเหนือเส้นศูนย์สูตรว่าฤดูหนาวอันโหดร้ายกำลังคืบคลานมาอีกครั้ง เพราะมันไม่ใช่แค่อุณหภูมิที่ลดต่ำลง แต่ยังมีลมที่พัดแรง รวมไปถึงพายุหิมะในบางครั้ง ทำให้ในช่วงปลายปี ลีกน้อยใหญ่ในยุโรปจะหยุดเตะเป็นการชั่วคราว หรือที่รู้จักกันในชื่อ พักเบรกฤดูหนาว (Winter Break) โดยส่วนใหญ่จะเริ่มหยุดตั้งแต่ก่อนคริสต์มาส แล้วไปเปิดลีกกันอีกทีหลังปีใหม่ แต่ไม่ใช่สำหรับลีกอังกฤษ พวกเขามีธรรมเนียมที่เรียกกันว่า “บ็อกซิ่งเดย์” หรือวันแกะกล่องของขวัญ ที่ไม่เพียงแต่ลีกจะไม่หยุดพักเบรกเท่านั้น แต่โปรแกรมการแข่งขันจะอัดแน่นเป็นพิเศษในช่วงนี้ จนทำให้หลายทีมต้องลงเตะถึง 3 เกมภายในสัปดาห์เดียว อันที่จริง จุดเริ่มต้นของวันบ็อกซิ่งเดย์ ต้องย้อนกลับไปตั้งแต่ปี 1860 หรือเมื่อ 160 ปีก่อน หลัง เชฟฟิลด์ เอฟซี ทีมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ลงเตะกับ ฮัลแลม เอฟซี คู่แข่งร่วมเมือง ในวันที่ 26 ธันวาคม ซึ่งทำให้มันกลายเป็นเกมดาร์บี้แมตช์ที่เก่าแก่ที่สุดอีกด้วย
ในขณะที่การแข่งขันบ็อกซิ่งเดย์ทั้งลีกของอังกฤษ มีขึ้นเป็นครั้งแรกในฤดูกาล 1888-89 อันเป็นซีซั่นแรกที่ถือกำเนิดระบบฟุตบอลลีก ก่อนที่มันจะกลายเป็นธรรมเนียม ที่ทำให้ฟุตบอลอังกฤษลงเตะกันในวันแกะกล่องของขวัญนับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
โดยปัจจุบัน บ็อกซิ่งเดย์ ถือเป็นหนึ่งในวันที่แฟนบอลให้ความสนใจมากที่สุด จากสถิติระบุว่าในปี 2016 มีแฟนบอลในอังกฤษและเวลส์ถึง 500,000 คน ที่ออกมาชมเกมในวันแกะกล่องของขวัญ และมียอดผู้ชมในสนามในอัตราสูงถึง 97.22 เปอร์เซ็นต์ของความจุ จาก 10 เกมของพรีเมียร์ลีก ด้วยเหตุผลดังกล่าวทำให้ไม่ว่าสภาพอากาศจะเลวร้ายแค่ไหน ฟุตบอลอังกฤษ จะยังคงเตะกันต่อไป ที่ทำให้บางครั้งผู้ชมอาจจะได้เห็นนักเตะลงเล่นท่ามกลางหิมะที่โปรยปราย ซึ่งมันก็เป็นเช่นนั้นมาตลอด 100 กว่าปีที่ผ่านมา
ยกเว้นเพียงแค่ปี 1963.. ฤดูหนาวที่เลวร้ายที่สุด
ด้วย สภาพ ภูมิประเทศ ที่ เป็น เกาะ และ ตั้ง อยู่ เหนือ เส้นศูนย์สูตร ทำให้อังกฤษต้องเผชิญกับสภาพอากาศที่ค่อนข้างแปรปรวน แต่ในทางกลับกันมันก็ทำให้ผู้คนของพวกเขาเคยชินกับสภาพอากาศที่ไม่แน่นอน ทว่าอาจไม่ใช่สำหรับปี 1962 ที่ต่อเนื่องมาจนถึงต้นปี 1963 เพราะมันคือฤดูหนาวที่เลวร้ายที่สุดของอังกฤษนับตั้งแต่ปี 1740 ในตอนแรกกรมอุตุนิยมวิทยาของพวกเขา พยากรณ์ว่าจะมีเพียงหิมะตกในวันคริสต์มาสปีดังกล่าว ที่ทำให้ผู้คนต่างรอคอย “ไวท์คริสต์มาส” ในช่วงวันส่งท้ายปี อย่างไรก็ดี ความเป็นจริงกลับเลวร้ายกว่านั้น เมื่อมันกลายเป็นฤดูหนาวที่มีอุณหภูมิต่ำในระดับติดลบ ตั้งแต่ -8 ไปจนถึง -20 องศาเซลเซียส แถมยังมีพายุหิมะพัดโหมกระหน่ำตั้งแต่เหนือจรดใต้ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายรายจากเหตุการณ์นี้
นอก จาก นี้ การลงเตะ ในสภาพสนาม ที่ย่ำแย่ ยังมีส่วนทำให้เกิด อุบัติเหตุได้ง่าย หนึ่งในนั้นคือเกมระหว่าง ซันเดอร์แลนด์ กับ บิวรี ในเกมดิวิชั่น 2 เมื่อสนามที่เป็นน้ำแข็ง ทำให้ ไบรอัน คลัฟ แข้งทีมแมวดำ ต้องแขวนสตั๊ดด้วยวัย 29 ปี หลังเข้าปะทะกับผู้รักษาประตูคู่แข่งจนเอ็นไขว้หน้าฉีก ก่อนที่เจ้าตัวจะเบนเข็มสู่การเป็นผู้จัดการทีม จนได้ฉายา “กุนซือปากตะไกร” ในเวลาต่อมานั่นเอง
แต่สิ่งเหล่านี้ก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของความวุ่นวายเท่านั้น.. การแช่แข็งอันยาวนาน
อากาศที่หนาวเหน็บไม่เพียงทำให้การจราจรของอังกฤษเป็นอัมพาตเท่านั้น แต่มันยังทำให้การแข่งขันฟุตบอลต้องหยุดชะงัก เมื่อหิมะที่ตกติดต่อกันเป็นสิบ ๆ วัน ทำให้หลายสนามต้องจมอยู่ใต้กองหิมะ ในช่วงแรกแฟนบอลพยายามช่วยกันโกยหิมะออกจากสนาม หวังให้การแข่งขันกลับมาเล่นต่อได้ แต่ในความเป็นจริงกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะแม้จะเอาหิมะออกจากสนามได้ แต่ด้วยความเย็นจัด ทำให้สนามกลายเป็นน้ำแข็งไม่ต่างจากลานสเก็ต หลายทีมพยายามแก้ไขปัญหานี้ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องพ่นไฟที่สนาม บลูมฟิลด์ โรด ของ แบล็คพูล, ใช้เครื่องทำลมร้อนที่สนาม ฟิลเบิร์ต สตรีต ของ เลสเตอร์ ซิตี้ หรือแม้กระทั่งใช้รถโกยหิมะจากเดนมาร์ก ที่สนาม เซนต์ แอนดรูว์ส ของ เบอร์มิงแฮม แต่ก็ไม่มีใครสามารถเอาชนะธรรมชาติได้
ด้วย เหตุ นี้ ทำ ให้ ใน ตอน นั้น หลายสโมสรพยายามเรียกร้องให้ยกเลิกฤดูกาลนี้ และเริ่มกลับมานับหนึ่งใหม่ เมื่อสถานการณ์ดีขึ้น แต่คำขอดังกล่าวก็ไม่เป็นผล สุดท้ายเมื่อเอาชนะธรรมชาติไม่ได้ หลายทีมพยายามปรับตัว และหาวิธีแก้ไขปัญหา ยกตัวอย่างเช่น โคเวนทรี ซิตี้ ทีมในดิวิชั่น 3 ที่ตัดสินใจไปลงเตะนัดกระชับมิตรที่ไอร์แลนด์ เพื่อหารายได้เข้าสโมสร เช่นเดียวกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ทีมในดิวิชั่น 1 ที่เลือกประเทศเพื่อนบ้านของพวกเขาเป็นหมุดหมายในการหนีหนาว และทำให้พวกเขาได้ลงเตะกับ โคเวนทรี ต่อหน้าแฟนบอล 20,000 คน
แต่แล้วในเดือนมีนาคม พวกเขาก็เริ่มมีสัญญาณที่ดี.. เมื่อหิมะละลาย
หลังจากเผชิญกับฤดูหนาวอันยาวนาน หรือที่รู้จักกันในชื่อ Big Freeze จนสร้างผลกระทบอย่างมหาศาลในหลาย ๆ ด้าน เดือนมีนาคม 1963 ลีกฟุตบอลอังกฤษ ก็กลับมาเดินเครื่องต่อได้อีกครั้ง
อย่างไร ก็ดี จากการ ที่แทบไม่มีการแข่งขัน มาตลอด 3 เดือน ทำให้หลายทีม ต้องเผชิญ กับโปรแกรมการแข่งขัน ที่แน่นเอี๊ยด ที่ไม่ใช่แค่ในเกมลีก เท่านั้น แต่ยังรวมไปถึง เอฟเอ คัพ ที่ต้องอัดให้จบเช่นกัน
แต่สถานการณ์ของพวกเขากลับเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ เมื่อหลังกลับมาลงเล่นในเดือนมีนาคม ฟูแลม สามารถรักษาฟอร์มสดเอาไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม จนทำสถิติไม่แพ้ใคร 13 นัดติดต่อกัน ขยับจากโซนหนีตกชั้นมาอยู่กลางตารางได้สำเร็จเมื่อสิ้นฤดูกาล
“มันช่วยเราไว้มาก ตอนที่เรากลับมา เราฟิตกว่าทุกทีม และบอลจังหวะเดียวของเราก็ดีขึ้น” โคเฮนอธิบาย
ก่อน ที่ สุด ท้ายฤดูกาลดังกล่าว จะปิดฉากลงอย่างสมบูรณ์ แม้อาจจะช้ากว่าเดิม 3 สัปดาห์ โดยมี เอฟเวอร์ตัน เป็นเจ้าของตำแหน่งแชมป์ดิวิชั่น 1 ส่วนถ้วยเอฟเอคัพ ตกเป็นของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เอาชนะ เลสเตอร์ 3-1 ในนัดชิงชนะเลิศ
ผ่าน มา เกือบ 50 ปี นับตั้งแต่วันนั้น หิมะและสนามที่เป็นน้ำแข็ง อาจจะไม่ใช่ปัญหาใหญ่ สำหรับวงการลูกหนังอีกแล้ว เมื่อมีกฏบังคับใช้ ว่าทุกสนามในพรีเมียร์ลีก จำเป็นต้องมีเครื่องละลายหิมะ ใต้พื้นสนาม
1963 ฟุตบอลอังกฤษต้องเล่นบนสนามพื้นน้ำแข็ง