เจาะ ประเด็นสำคัญ ลิเวอร์พูล เสมอ แมนเซสเตอร์ ยูไนเต็ด

เจาะ ประเด็นสำคัญ ลิเวอร์พูล เสมอ แมนเซสเตอร์ ยูไนเต็ด

 

เจาะ ประเด็นสำคัญ ลิเวอร์พูล เสมอ แมนเซสเตอร์ ยูไนเต็ด

 

 

ศึก “แดงเดือด” จบลงแบบไร้ความสดใส นิดหน่อยเมื่อ ลิเวอร์พูล ทำได้เพียงแค่เสมอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แบบไร้สกอร์ที่ สนามแอนฟิลด์ เมื่อ วันอาทิตย์ ที่ 17 มกราคม 2564 ที่ผ่านมา ทำให้ตอนนี้ทีมของ “ลิเวอร์พูล” นั้นอยู่ในสถานการณ์ที่น่าเป็นห่วงเพราะตอนนี้หล่นไปอยู่อันดับ 4 แล้ว

สำหรับเกมนี้ เจอร์เก้น คล็อปป์ ยังคงมีกองหลังที่ฟอร์มย่ำแย่เหมือนเดิม จึงทำให้ต้องจับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ยืนคู่กับ ฟาบินโญ่  ส่วน “แมนยูฯ” ค่อนข้างฟูลทีม แถมแมตช์นี้ กุนซือ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา จัดผู้เล่นหวังเน้นเกมรับและสวนกลับ ซึ่งก็ได้ผลในช่วงครึ่งหลัง

    ที่สำคัญ “แมนยูฯง” เกือบจะได้ 3 คะแนนจากแอนฟิลด์ เพราะพวกเขามีจังหวะโอกาสทองที่ดีที่ซัดประตูจาก ปอล ป็อกบา กับ บรูโน่ แฟร์นันด์ส แต่ อลีสซง เบ็คเกอร์ เซฟได้อย่างเหลือเชื่อ ฉะนั้น 1 แต้มในแมตช์นี้อย่างน้อย ๆ ก็ทำให้เจ้าบ้าน อย่าง ลิเวอร์พูล รักษาสถิติไม่แพ้ใครในบ้านของตัวเองต่อไป

 

1.  ติอาโก้ ทำฟอร์มได้ดี

ติอาโก้ อัลกันตาร่า มีโอกาสได้สัมผัสสนามแอนฟิลด์เป็นครั้งแรก นับตั้งแต่ย้ายมาเล่นให้ ลิเวอร์พูล โดยในเกม “แดงเดือด” เจ้าตัวทำผลงานได้อย่างโดดเด่นเอามาก ๆ และในครึ่งแรกเขาผ่านบอลจังหวะสำคัญให้กับทีมได้หลายต่อหลายครั้ง

     ดาวแข้งทีมชาติสเปน แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการเป็นผู้เล่นระดับโลกอย่างแท้จริง ทั้งการผ่านบอลที่แม่นยำ ครองทำหน้าที่คุมจังหวะเกมแดนกลาง แย่งบอลคืนจากคู่อริ ได้อย่างรวดเร็ว และทำหน้าที่เปิดฟรีคิกได้แม่นยำ ทำให้แนวรับของ แมนยูฯ  ต้องเจอแรงกดดันในจังหวะแบบนี้

นักเตะกองกลางวัย 29 ปี ยังคงรักษามาตรฐานในการเล่นช่วงครึ่งหลังได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในจังหวะที่ลากบอลหลบหลีก เฟร็ด และโชว์การยิงไกลที่หนักหน่วง แต่น่าเสียดายที่ นายทวารอย่าง ดาบิด เด เคอา ไหวตัวทันทำให้พุ่งปัดออกไปได้

สำหรับตอนนี้ ติอาโก้ ยิงเล่นยิ่งดีขึ้นเรื่อย ๆ และมีส่วนต่อเกมบุกของ ลิเวอร์พูล อย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญหาก คล็อปป์ ตัดสินใจให้อิสระในการเล่นแดนกลางมากยิ่งขึ้น โดยมี จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ทำหน้าที่เป็นโฮลดิ้ง มิดฟิลด์ งานนี้สาวก “เดอะ ค็อป” ได้เห็นอะไรเด็ด ๆ จากหมากแข้งของ ติอาโก้ มากกว่านี้แน่นอน

 

 

2. อลีสซง ซูเปอร์เซฟช่วยทีมมีแต้ม

    ในเกมนี้แม้ว่า หงส์แดง จะสามารถครองเกมได้เหนือกว่า ปีศาจแดง ถึง 65 เปอร์เซนต์ก็ตาม แต่จังหวะในการยิงประตูแทบจะไม่ค่อยมีสักเท่าไหร่ ส่วนทางด้าน “ปีศาจแดง” ที่มี 2 โอกาสสำคัญที่น่าจะทำให้พวกเขาคว้า 3 แต้มในแมตช์นี้ 

    1 แต้มสำหรับ “หงส์แดง” ในบ้านอาจจะดูน่าผิดหวัง แต่จริง ๆ แล้วพวกเขาเกือบไม่ได้อะไรด้วยซ้ำ ถ้าหากไม่มี อลีสซง เบ็คเกอร์ ยืนเฝ้าเสา เพราะผู้รักษาประตูทีมชาติบราซิล โชว์ซูเปอร์เซฟ มือกาวอันทรงพลัง ที่น่าเหลือเชื่อจากการยิงของ บรูโน่ แฟร์นันด์ส และ ปอล ป็อกบา

จังหวะแรก ลุค ชอว์ หลุดเข้าไปเปิดบอลให้ บรูโน่ แบบเน้น ๆ  แต่ อลีสซง มีความว่องไวมากใช้เท้าซ้ายสกัดออกไปได้อย่างเฉียดชิว ส่วนอีกจังหวะ อาวอน วาน-บิสซาก้า ผ่านบอล ให้ ป็อกบา  และยิงอย่างเต็มที่ นายด่านคู่อริ ป้องกันได้อย่างเหลือเชื่อ

     ต้องยอมรับว่าแมตช์นี้ ลิเวอร์พูล ได้ 1 แต้ม ถือว่าน่าพอใจกับสภาพทีมที่ค่อนข้างย่ำแย่ถึงขนาดนี้ และแน่นอนว่าสาวก “เดอะ ค็อป” ต้องขอบคุณ ผู้รักษาประตูทีมชาติบราซิล ที่ทำให้ทีมสามารถเก็บคลีนชีตได้ แถมยังรักษาสถิติไร้พ่ายในแอนฟิลด์เป็นเกมที่ 68 เกมติดต่อกัน 

 

3. ป็อกบาหลบคำสบประมาทได้

   ปอล ป็อกบา นั้นโดนวิจารณ์อย่างหนักเรื่องฟอร์มการเล่นในช่วงหลาย ๆ เดือนที่ผ่านมา แถมยังมีข่าวเกี่ยวกับการพยายามย้ายทีม แต่ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ยังคงไว้วางใจในฝีเท้าของเขา และตอนนี้ผลแห่งความเชื่อมั่นก็ค่อย ๆ ผลิดอกออกผลอย่างต่อเนื่อง

    “โซลชา” มองถึงศักยภาพที่ยอดเยี่ยมของ ดาวเตะเลือดเฟร้นช์ ออกมาได้เรื่อย ๆ โดยเขาจับ ป็อกบา เล่นทั้งมิดฟิลด์ตัวกลาง, โฮลดิ้งมิดฟิลด์ และกองกลางฝั่งซ้ายในฤดูกาลนี้ และล่าสุดก็จัดเจ้าตัวไปเล่นมิดฟิลด์ฝั่งขวาในลงแข่งกับ ลิเวอร์พูล 

สำหรับการตัดสินใจของ โซลชา มีเป้าหมายเพื่อที่จะไม่ให้เกมรุกที่แสดงน่ากลัวทางฝั่งซ้ายของ “หงส์แดง” ได้ทำงานมากนัก เพราะพื้นที่บริเวณนี้มีทั้ง ซาดิโอ มาเน่ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน ซึ่งหากปล่อยให้ทั้ง 2 คน มีโอกาสเล่นมากเกินไปอาจนำมาสู่ความพ่ายแพ้ของทัพ “แมนยูฯ”

     นอกจากนี้การจับ ป็อกบา ไปยืนทางขวา ทำให้ นายใหญ่ชาวนอร์เวย์ สามารถจับ เฟร็ด กับ สกอตต์ แม็คโทมิเนย์ ยืนอยู่กันตรงกลาง เนื่องจากต้องการเน้นการเล่นปลอดภัย และรอดโอกาสทองเพื่อสวนกลับ 

     ส่วน ป็อกบา พอได้ยืนถ่างออกไปริมเส้นทำให้เขาสามารถลากบอลตบเข้ากลาง และหาจังหวะเปิดบอลกับสร้างโอกาสในการยิงประตูได้ โดยเฉพาะในช่วงท้ายเกมที่เจ้าตัวได้โอกาสทองเกือบยิงเข้าตาข่าย แต่น่าเสียดายที่ อลีสซง ยืนถูกตำแหน่งทำให้เซฟได้อย่างหวุดหวิด

 

 

4. ปีศาจแดงเด่นทั้งเกมรับและเกมรุก

   ช่วงต้นฤดูกาล แนวรับของ แมนเซสเตอร์ ยูไนเต็ด นั้นทำผลงานออกมาให้ดูได้มีดีนัก โดยเฉพาะ แฮร์รี่ แม็กไกวร์ กับ วิคตอร์ ลินเดอเลิฟ แต่ในตอนนี้ทั้ง 2 คน มีพัฒนาที่ดีขึ้น และกลายเป็นหัวใจสำคัญของ “ผีแดง” ไปเรียบร้อยแล้ว

     ก่อนที่จะเริ่มแมตช์ “แดงเดือด” มีการคาดการณ์ว่า เอริก ไบยี่ น่าจะได้ยืนตัวจริงกับ แม็กไกวร์ หลังดาวเตะชาวไอวอรี่ โคสต์ ทำผลงานได้ดีเยี่ยมในช่วงที่ผ่านมา แต่งานนี้ “โซลชา” ทำเซอร์ไพรส์มากเลือก ลินเดอเลิฟ เพราะต้องการความสดของนักเตะมาช่วยหยุดยั้งเกมบุกสุดโหดของลิเวอร์พูล

งานนี้ น้าลูกอม คิดถูกเพราะ ลินเดอเลิฟ ทำฟอร์มเหนียวแน่นมาก โดยนักเตะเคลียร์บอลมากถึง 10 ครั้ง ทำให้เกมรุกของ ลิเวอร์พูล แทบไม่ได้เข้ามาทำให้ ดาบิด เด เคอา ต้องออกแรงมากนัก ส่วน แม็กไกวร์ แม้ครึ่งแรกจะมีจังหวะพลาดเปิดบอลไม่ดีแต่ก็ทำให้ทีมไม่เสียประตู ส่วนช่วงเวลาที่เหลือสามารถรับมือ 3 ประสาน “หิน เหล็ก ไฟ” ได้อย่างดีเยี่ยม โดยเฉพาะลูกโด่งเจ้าตัวได้โหม่งสกัดได้หมด 

     สำหรับ อารอน วาน-บิสซาก้า งานนี้ขอชื่มชมให้กับความเหนียวแน่นในเกมรับเมื่อสามารถจัดการกับ ซาดิโอ มาเน่ ได้อยู่หมัด ส่วนเกมรุกก็เพิ่มพัฒนาขึ้น โดยเฉพาะจังหวะส่งบอลให้ ป็อกบา ยิงประตูช่วงท้ายเกมแต่ก็ไม่เข้า 

     ตบท้ายด้วย ลุค ชอว์ บอกเลยว่านักเตะรายนี้ฟอร์มดีสุด ๆ ทั้งการดวลกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เจ้าตัวก็สามารถรับมือได้ดี ส่วนการเติมเกมรุกก็ยอดเยี่ยม อย่างจังหวะส่งบอลให้ บรูโน่ แต่โดน อลีสซง เซฟได้อย่างเหลือเชื่อ ต้องบอกเลยว่าแมตช์นี้ ชอว์ เป็นตัวเด่นมาก ๆ ทั้งเกมรับและเกมรุก

 

 

5. คู่กองกลางจำเป็น ที่เล่นได้เข้าขาในตำแหน่งเซนเตอร์แบ็ก 

    ปัญหาเซนเตอร์แบ็กของ หงส์แดง ยังคงมีให้เห็นอย่างต่อเนื่องในฤดูกาลนี้ ล่าสุด โฌเอล มาติป ก็ไม่สามารถลงสนามในแมตช์สำคัญได้ ทำให้ คล็อปป์ จำเป็นที่จะต้องตัดสินใจว่าจะใช้งานดาวรุ่งหรือเลือก จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ยืนคู่กับ ฟาบินโญ่

     สุดท้ายแล้ว คล็อปป์ เลือกนักเตะที่มีประสบการณ์และสามารถช่วยทีมได้อย่าง “เฮนโด้” นั่นหมายความว่า “ลิเวอร์พูล” ต้องใช้กองกลางถึง 2 คนมายืนเป็นเซนเตอร์แบ็ก โดยมี ริส วิลเลี่ยมส์ กับ นาธาเนียล ฟิลลิปส์ นั่งสแตนด์บายอยู่ในซุ้มม้านั่งสำรอง

ผลงานของ เฮนเดอร์สัน ในการทำหน้าที่เป็นกองหลัง จัดว่ายังคงใช้ได้ แต่อาจจะเป็นเพราะ ปีศาจแดง ไม่ได้เน้นเล่นเกมรุกในแมตช์นี้ทำให้ กัปตันทีม “หงส์แดง” กับ ฟาบินโญ่ ไม่ค่อยเจอกับงานหินสักเท่าไหร่

     
 

6. แนวรุกของทั้งคู่ไร้ประสิทธิภาพ

    หนึ่งในเหตุผลสำคัญที่ทำให้ศึก “แดงเดือด” ออกมาแนวไร้ความสดใสก็เพราะเกมรุกของทั้ง  ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ไม่สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้เลย 

เริ่มจากฝั่งทีมเยือน แมตช์นี้ บรูโน่ ต้องบอกว่าฟอร์มดร็อปไปเยอะ อาจจะเป็นเพราะอาการเหนื่อยล้าจากการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีจังหวะยิงฟรีคิกเฉียดเสา และซัดบริเวณกรอบ ติดเซฟ อลีสซง นอกนั้นเจ้าตัวยังทำฟอร์มออกมาได้มีดี ซึ่งถือเป็นฟอร์มที่น่าผิดหวังในแมตส์นี้

     ส่วน อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล สภาพร่างกายดูเหมือนจะไม่ค่อยฟิต แถมยังถูกจับไปเยือนทางฝั่งซ้าย ทำให้ไม่สามารถโชว์ศักยภาพของตัวเองได้อย่างเต็มที่ ขณะที่ มาร์คัส แรชฟอร์ด ผลงานไม่ต่างกัน มีความเร็วแต่ไม่สามารถสร้างประโยชน์ได้ และมักจะตัดสินใจผิดพลาดอยู่หลายเรื่อง ในเกมนี้

ทางฝั่งเจ้าบ้านก็ไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเลย เริ่มที่ “โม ซาลาห์” ต้องบอกว่านี่เป็นอีกเกมที่น่าผิดหวังสำหรับเขา เพราะเจ้าตัวดัน ชอว์ กับ แม็กไกวร์ จัดการปิดโอกาสทำประตูได้หมด แถมมีจังหวะดี  แค่ครั้งเดียวแต่ก็ยิงไปเฉียดขาของ กัปตันทีม “แมนยู” นอกนั้นก็ไม่มีอะไรน่าจดจำเอาซะเลย

     ด้าน โรแบร์โต้ ฟีร์มีโน่ ในช่วงครั้งแรกมีโอกาสสร้างความกังวลเกมรับให้ทีมเยือน แต่ก็ไม่มีทีเด็ดอะไรมากนัก ทำได้ดีที่สุดแค่คอยเชื่อมเกมเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่นไม่มีอะไรให้พูดถึง สำหรับ ซาดิโอ มาเน่ พยายามใช้ความเร็วและความสามารถเฉพาะตัวเพื่อทำลายริมเส้นของ แมนยูฯ แต่โดน วาน-บิสซาก้า จัดการกินเรียบ

      

 

 

7. ลิเวอร์พูลจัดว่าน่าเป็นห่วง

 ผลเสมอในเกมนี้ไม่ใช่แค่ “ลิเวอร์พูล” ตามหลัง แมนเซสเตอร์ ยูไนเต็ด เท่านั้น แต่พวกเขายังร่วงไปอยู่อันดับ 4 โดยโดนทั้ง  แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ  เลสเตอร์ ซิตี้ แซงหน้าไปเรียบร้อย ใน พรีเมียร์ลีก แล้ว 

 แม้ว่าในเกม “แดงเดือด” จะไม่มีดราม่าให้พูดถึงสักเท่าใด แต่ผลเสมอส่งผลเสียหายในระดับหนึ่งสำหรับ ลิเวอร์พูล เพราะทำให้การป้องกันแชมป์ลีกของพวกเขาต้องเจอกันแรงกดดันมากยิ่งขึ้นจากที่ต้องหล่นจากบัลลงก์มาอยู่ถึงอันดับ 4 

     ยังไม่หมดแค่นั้นเพราะอันดับ 5 อย่าง สเปอร์ส ก็มีแต้มตามหลังแชมป์เก่าเพียงแค่ 1 คะแนนเท่านั้น ส่วน เอฟเวอร์ตัน เพื่อนบ้านที่แสนรักตามหลัง 2 แต้มแต่แข่งน้อยกว่า 1 นัด งานนี้บอกเลยว่าสาวก “เดอะ ค็อป” ต้องมีความกังวลกันพอสมควร

ตอนนี้เกมลีกผ่านมา 18แมตช์ ถ้าหาก คล็อปป์ ไม่สามารถกระตุ้นฟอร์มเก่งของ ลิเวอร์พูล กลับมาให้ได้โดยเร็วที่สุด งานนี้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่พวกเขาคงจะต้องเจอกับสถานการณ์ที่ล่อแหลมจนถึงขั้นอาจหลุดท็อปโฟร์ก็ได้

 

ตารางอันดับพรีเมียร์ลีก อังกฤษ

 

เจาะ ประเด็นสำคัญ ลิเวอร์พูล เสมอ แมนเซสเตอร์ ยูไนเต็ด

 

เจาะ ประเด็นสำคัญ ลิเวอร์พูล เสมอ แมนเซสเตอร์ ยูไนเต็ด
แทงบอลออนไลน์
สมัครเว็บคาสิโนออนไลน์