6 ประเด็นร้อนก่อนเกมพรีเมียร์ลีก นัดที่ 13
ศึกพรีเมียร์ลีก แมตช์เดย์ที่ 13 เริ่มหวดแข้งกันตั้งแต่คืนวันอังคาร โดยมีคู่บิ๊กแมตช์ ในคืนวันพุธ เป็นการเจอกันระหว่าง ลิเวอร์พูล พบ ทอตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ซึ่งมีตำแหน่งจ่าฝูงเป็นเดิมพัน ส่วนคู่อื่นๆ จะมีอะไรน่าสนใจบ้าง ไปดูกันได้เลย
แทมมี่ อับราฮัม ยิงใส่ วูล์ฟส์ ได้ 6 ประตูจากการลงสนาม 4 นัด โดยเจ้าตัวซัดแฮตทริกได้ในเกมที่ “สิงห์บลูส์” เอาชนะ 5-2 เมื่อซีซั่นก่อน
“แมนฯ ซิตี้-เวสต์บรอมวิช”
การเจอกับ เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน ถือเป็นของชอบสำหรับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ สุดๆ เมื่อ 13 เกมหลังพวกเขาเอาชนะได้ทุกนัด โดยยิงได้ 37 ประตู และเสียแค่ 9 ลูกเท่านั้น ซึ่งนับเป็นสถิติที่ยาวนานที่สุดในการเจอกันของสองทีมบนลีกสูงสุด
เวสต์บรอมฯ ตั้งเป้าคว้าชัยชนะครั้งแรกที่ถิ่น เอติฮัด สเตเดี้ยม(เสมอ 2 แพ้ 9) โดยครั้งสุดท้ายที่พวกเขาชนะ ซิตี้ ถึงบ้านของ “เรือใบสีฟ้า” ได้ก็ต้องย้อนไปสมัยที่ยังใช้สนาม เมน โร้ด เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2013 ในชัยชนะ 2-1
เควิน เดอ บรอยน์ มีส่วนร่วมกับประตู 12 ลูกจาก 7 นัดหลังสุดในการเจอกับทีมน้องใหม่ โดยทำได้ 5 ประตูกับอีก 7 แอสซิสต์
หาก เวสต์บรอม ชนะได้ ก็จะเป็นครั้งแรกที่พวกเขาเก็บสามแต้มได้ในเกมคืนวันอังคาร หลังจากก่อนหน้านี้ 27 นัดไม่ชนะได้เลย(เสมอ 12 แพ้ 15) ซึ่งเป็นตัวเลขมากที่สุดต่อหนึ่งทีมที่ลงเล่นในวันนั้นๆ ที่ปราศจากชัยชนะ
“อาร์เซน่อล-เซาธ์แฮมป์ตัน”
เกมที่สนามเอมิเรตส์ จะกลับมาลงเล่นแบบไร้คนดูอีกครั้ง หลังรัฐบาลอังกฤษกำหนดให้ ลอนดอน เป็นพื้นที่เสี่ยงติดโควิด-19 สูงสุด
ในรอบ 5 เกมลีกหลังสุด อาร์เซน่อล ไม่เจอกับคำว่า “ชัยชนะ” เลย และเป็นการแพ้ในบ้านตัวเอง 4 นัดติดต่อกันเข้าให้แล้ว อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่แพ้คู่แข่งในบ้านตัวเองเกมลีกยามเล่นในค่ำคืนวันพุธมาแล้ว 25 นัด ซึ่งเป็นสถิติที่ไม่แพ้ใครในวันเดียวนานที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก
ขณะที่ เซาธ์แฮมป์ตัน จะทำแต้มแซงหน้า ลิเวอร์พูล และ สเปอร์ส ทันทีหากพวกเขาบุกชนะ “เดอะ กันเนอร์ส” ได้ ซึ่งมีแค่ตอนฤดูกาล 2014/15 เท่านั้น ที่ เซาธ์แฮมป์ตัน มีแต้มมากว่าในตอนนั้น หลังผ่านไป 12 เกม
การเจอกันครั้งนี้ จะเป็นนัดที่ 100 ที่ทั้งคู่พบกัน โดย “ปืนใหญ่” เอาชนะได้ 51 นัด ส่วน “นักบุญ” ชนะ 21 และที่เหลือ 27 นัดลงเอยด้วยผลเสมอ
“เลสเตอร์-เอฟเวอร์ตัน”
เลสเตอร์ ซิตี้ มีโอกาสจะแซงขึ้นจ่าฝูงเต็มตัว หากพวกเขาเอาชนะเกมนี้ และให้ผลคู่ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ ทอตแน่ม ฮ็อตสเปอร์ ไม่มีผู้ชนะ ขณะที่ เอฟเวอร์ตัน หวังต่อยอดจากเกมก่อนด้วยการคว้าชัยในลีกสองเกมติดต่อกันเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนตุลาคม ที่ผ่านมา
เจมี่ วาร์ดี้ มีส่วนร่วมกับประตูใน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ไปแล้วถึง 14 ลูก จากการลงสนาม 11 นัด โดยแบ่งเป็นการยิง 10 ประตู และแอสซิสต์อีก 4 ครั้ง ขณะที่ กิลฟี่ ซิกูร์ดส์สัน แข้งไอซ์แลนด์ของ “ทอฟฟี่สีน้ำเงิน” เพิ่งทำประตูได้ในเกมบดชนะ เชลซี ซึ่งนับเป็นประตูแรกของเขานับตั้งแต่เดือนกรกฎาคม ที่ตอนนั้นยิงใส่ เลสเตอร์ ซิตี้
การเจอกันที่สนาม คิง เพาเวอร์ ของคู่นี้ ทั้งคู่สลับกันแพ้-ชนะ มาแล้ว 5 นัด โดยเกมเมื่อซีซั่นก่อนที่สนามแห่งนี้เป็น เลสเตอร์ เอาชนะไปได้ 2-1 จากประตูชัยของ เคลิชี่ อิเฮียนาโช่ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ
“ลิเวอร์พูล-สเปอร์ส”
การเจอกันเพื่อแย่งชิงจ่าฝูง พรีเมียร์ลีก ทั้งสองทีมต่างพลาดท่าทำแต้มหล่นจากเกมก่อนโดย ลิเวอร์พูล เอาตัวรอดได้ไล่ตีเสมอ ฟูแล่ม ส่วน สเปอร์ส โดน คริสตัล พาเลซ ตามตีเจ๊าช่วงท้ายเกม อีกทั้งยังเป็นการเจอกันของทีมที่มีเกมรุกดีที่สุดในลีกเจอกับทีมที่มีเกมรับดีที่สุดในลีก
หลังจากเก็บชัยชนะได้เหนือ เลสเตอร์ และ วูล์สฟ์ แบบสวยหรูใน แอนฟิดล์ ทำให้ ลิเวอร์พูล มีสถิติคว้าชัยในบ้านตัวเอง 31 เกมจาก 32 นัดสุดสุด เก็บได้ถึง 94 จาก 96 คะแนน ขณะเดียวกันพวกเขาทำประตูใส่คู่แข่งได้ถึง 93 ลูก และไม่แพ้ใครที่สนามแห่งนี้ในเกมลีกมาแล้ว 65 เกม
“ไก่เดือยทอง” ไม่แพ้ใครในเกมลีกมาแล้ว 9 นัดติดต่อกัน ซึ่งเป็นสถิติที่ดีที่สุดของพวกเขานับตั้งแต่เดือนเมษายน ปี 2018 ขณะที่การเจอกับทีมที่เป็นแชมป์เก่า พวกเขาเอาชนะได้ 3 จาก 7 นัดในการออกไปเยือน ซึ่งเป็นตัวเลขเทียบเท่าสถิติ 40 นัดก่อนหน้านี้
โชเซ่ มูรินโญ่ ไม่สามารถเอาชนะได้เลยในการออกไปเยือน 5 เกมหลังสุดในการเจอกับทีมที่มี
เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ฟอร์มย่ำแย่เหลือเกิน แพ้มา 7 นัดรวด โดยซีซั่นนี้เพิ่งเก็บได้แต้มเดียวจากการลงเล่น 12 เกม ขณะที่เกมรุกยิ่งแย่เข้าไปใหญ่ เมื่อทำได้เพียง 5 ลูกเท่านั้น และเสียไปถึง 21 ประตู
ฝั่ง “ปีศาจแดง” แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นทีมที่เล่นเกมนอกบ้านดีที่สุดในลีก นับเฉพาะซีซั่นนี้พวกเขาคว้าชัยนอกบ้านไปแล้ว 5 นัดรวด และยิ่งหากย้อนไปรวมผลงานซีซั่นก่อน ยูไนเต็ด เก็บชัยได้ถึง 9 นัดติดต่อกัน
6 ประเด็นร้อนก่อนเกมพรีเมียร์ลีก นัดที่ 13